วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Big Hero6

                                Big Hero 6
                       


ด้วยเรื่องราวอันน่าประทับใจและมุกตลกที่แฟนๆคาดหวังจาก วอลท์ ดิสนีย์ แอนิเมชั่น สตูดิโอส์ สู่ภาพยนตร์แอ็คชั่นผจญภัยแฝงอารมณ์ขัน “Big Hero 6 - บิ๊กฮีโร่ 6” เรื่องราวของหนุ่มน้อยนักประดิษฐ์ ฮิโระ ฮามาดะ ที่กำลังเรียนรู้ถึงอัจฉริยภาพที่เขามี

ต้องขอบคุณทาดาชิ พี่ชายที่ปราดเปรื่องของเขา รวมถึงเพื่อนๆ อย่าง โกโก ทามาโกะ จอมไฮเปอร์, วาซาบิ โนะ-จินเจอร์ เจ้าระเบียบ, ฮันนี่ เลม่อน แม่มดเคมี, และแฟนบอย เฟรด เมื่อหายนะกำลังคลืบคลามเข้ามาและดึงพวกเขาเข้าไปสู่เรื่องราวสุดอันตรายที่เกิดขึ้นใน ซานฟรานโซเกียว เมืองลูกผสมระหว่าง ซานฟรานซิสโก กับ โตเกียว

ฮิโระ จึงต้องพึ่งหุ่นยนต์เพื่อนซี้ของเขาที่ชื่อเบย์แมกซ์ และเปลี่ยนเพื่อนๆของเขาให้กลายเป็นกลุ่มของฮีโร่สุดไฮเทคเพื่อคลี่คลายเรื่องราวที่เกิดขึ้น

ภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่มีกลิ่งอายของมังงะ หรือการ์ตูนญี่ปุ่น เรื่องนี้ได้นักแสดงมากมายมาร่วมให้เสียง ตัวละครต่างๆ ซึ่งได้แก่ ไรอัน พอตตเตอร์ ให้เสียง ฮิโระ ฮามาดะ, สก็อตต์ แอดซิท ให้เสียง เบย์แมกซ์, ที.เจ. มิลเลอร์ ให้เสียง เฟรด,เจมี่ ชุง ให้เสียง โกโก ทามาโกะ, เดม่อน เวย์ยันส์ จูเนียร์ ให้เสียง วาซาบิ,เจเนซิส โรดิเกวซ ให้เสียง ฮันนี่ เลม่อน, แดเนียล เฮนนี่ ให้เสียง ทาดาชิ ฮามาดะ พี่ชายของฮิโระ, มายา รูดอล์ฟ ให้เสียง ป้าแคสส์,เจมส์ ครอมเวลล์ ให้เสียง ศจ. โรเบิร์ต คัลลาแกน, และ อลัน ทูไดค์  ให้เสียง อลิสแตร์ เครย์ กำกับโดย ดอน ฮอลล์ และ คริส วิลเลี่ยมส์ และอำนวยการสร้างโดย รอย คอนลิ





วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Frozen

                                                  Frozen




ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ หรือ โฟรเซน(อังกฤษ: Frozen เป็นภาพยนตร์เพลงแนวแฟนตาซี-คอเมดีประเภทคอมพิวเตอร์แอนิเมชันสามมิติในปีพ.ศ. 2556 อำนวจการสร้างโดยวอลต์ดิสนีย์แอนิเมชันสตูดิโอส์และจัดจำหน่ายโดยวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ภาพยนตร์เรื่องนี้ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากเรื่องเล่าเรื่องราชินีหิมะของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซนนับเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันลำดับที่ห้าสิบสามของภาพยนตร์ในชุดแอนิเมชันคลาสสิกของวอร์ตดิสนีย์ โดยเล่าเรื่องราชินีผู้กล้าที่ผจญภัยไปกับมนุษย์น้ำแข็ง กวางเรนเดียร์ และมนุษย์หิมะผู้อับโชคเพื่อค้นหาพี่สาวที่ห่างเหินซึ่งมีพลังน้ำแข็งที่ทำให้อาณาจักรตกอยู่ภายใต้ฤดูหนาวชั่วนิรันดร์โดยไม่ได้ตั้งใจ

ภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านช่วงการเรียบเรียงร่างบทภาพยนตร์มาหลายปีก่อนที่จะได้รับการอนุมัติให้เดินหน้าต่อใน พ.ศ. 2554 โดยมีเจนนิเฟอร์ ลี เป็นผู้เขียนบท และลีกับคริส บัก เป็นผู้กำกับ นอกจากนี้ยังได้ คริสเตน เบลล์, ไอดินา แมนเซล, โจนาธาน กรอฟฟ์, จอร์ช แกด และซานติโน่ ฟอนทาน่า มาเป็นผู้พากษ์เสียงตัวละคร คริสโตฟ เบค ผู้ร่วมงานกับดิสนีย์ในภาพยนตร์สั้น Paperman เป็นผู้เรียบเรียงทำนองออร์เคสตรา และโรเบิร์ต โลเปซ กับคริสเตน แอนเดอร์สัน-โลเปซ คู่สามีภรรยานักแต่งเพลงเป็นผู้แต่งเพลงประกอบเรื่อง

โฟรเซนเปิดรอบปฐมทัศน์ที่โรงภาพยนตร์เอลแคปิตันเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2556และออกฉายเป็นการทั่วไปในวันที่ 27 พฤศจิกายน โดยได้รับเสียงวิจารณ์ในแง่บวกอย่างล้นหลามทั้งจากนักวิจารณ์และผู้ชม นักวิจารณ์บางคนเห็นว่าโฟรเซนเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันและภาพยนตร์เพลงที่ดีที่สุดตั้งแต่ยุคฟื้นฟูของดิสนีย์ ภาพยนตร์ยังทำรายได้อย่างล้นหลาม ได้รับรายได้กว่า $1.2 พันล้านทั่วโลก โดยเป็นรายได้จากสหรัฐอเมริกาและแคนาดา $400 ล้าน และอีก $247 ล้านในญี่ปุ่น ได้รับการขนานนามว่าเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาล,ภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาลลำดับห้า, ภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในปี 2556 และภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดตลอดการลำดับสามในญี่ปุ่น โฟรเซนได้รับรางวัลออสการ์ ในสาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม และในสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (เพลงเล็ทอิทโก) รางวัลลูกโลกทองคำสาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยมรางวัลบาฟต้าสาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยมรางวัลแอนนีห้ารางวัล (รวมทั้งภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม) และรางวัลนักวิจารณ์คัดสรรในสาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม และเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (เพลงเล็ทอิทโก)






ราพันเซล

ราพันเซล



ราพันเซล เจ้าหญิงผมยาวกับโจรซ่าจอมแสบ (Tangled) เป็นภาพยนตร์เพลงแนวตลกและเพ้อฝันสัญชาติอเมริกัน วอลต์ดิสนีย์แอนิเมชันสตูดิโอส์สร้างด้วยคอมพิวเตอร์แอนิเมชันเมื่อ พ.ศ. 2553 และเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันซึ่งฉายในโรงภาพยนตร์เป็นลำดับที่ 50 ของวอล์ดิสนีย์ มีเนื้อหาอิงเทวนิยายเยอรมันเรื่อง ราพันเซล (Rapunzel) ของพี่น้องกริม อย่างหยาบ ๆ และในภาคภาษาอังกฤษนั้น แมนดี มัวร์,ซาชารี เลวี และ ดอนนา เมอร์ฟีย์ ให้เสียงตัวละครเด่น ๆ
เดิมชื่อภาษาอังกฤษของภาพยนตร์นี้คือ Rapunzel แต่ก่อนออกฉายเล็กน้อยได้เปลี่ยนเป็น Tangled ภาพยนตร์นี้ฉายในโรงภาพยนตร์ระบบสามมิติเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2553 ส่วนในประเทศไทย ฉายเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2554 การจัดสร้างภาพยนตร์ใช้เวลาถึงหกปี และแอลเอไทมส์รายงานว่า ใช้ทุนไปราว ๆ สองร้อยหกสิบล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันที่ใช้จ่ายเงินไปมากที่สุดทีเดียว
หยาดแสงอาทิตย์หยาดหนึ่งตกลงสู่พื้นโลก และงอกงามขึ้นเป็นดอกไม้เรืองแสงประกอบด้วยสรรพคุณเยียวยาความป่วยเจ็บ หญิงชรานางหนึ่งชื่อว่า "กอเธล" พบเจอเข้า จึงใช้ดอกไม้นั้นเพื่อคงความเยาว์วัยดุจหญิงสาวของตนเอง โดยวิธีร้องเพลงมนตร์แก่ดอกไม้นั้นว่า "บุปผาเรืองแสงส่อง เปล่งฤทธาของเจ้า ช่วยย้อนวันให้เรา คืนสิ่งที่เคยได้ครอง" นางนำสุ่มมาครอบดอกไม้นั้นเพื่อเก็บไว้ใช้แต่ผู้เดียว
หลายร้อยปีผ่านไป เกิดมีอาณาจักรขึ้นบริเวณนั้น ราชินีอันเป็นที่รักแห่งอาณาจักรดังกล่าวประชวรขณะใกล้ให้ประสูติกาล ทหารและพลเมืองช่วยกันค้นหาวิธีแก้ไข และพบดอกไม้นั้นเข้าโดยบังเอิญ ราชินีทรงได้รับการรักษา และมีประสูติกาลแก่ธิดาพระนามว่า "ราพันเซล" ผู้มีเกศางามดังทอง และบัดนี้ เกศาของพระธิดากลายเป็นแหล่งสรรพคุณวิเศษของดอกไม้นั้นแทน ในคืนนั้น กอเธลลักพาพระธิดาไปซ่อนไว้ในหอคอยสูงกลางป่า แล้วเลี้ยงดูประดุจบุตรในอุทร เพื่อใช้ผมของราพันเซลช่วยให้ตนเองคงความเยาว์วัยต่อไป นางทราบดีว่า ถ้าตัดผมของราพันเซลออก ผมนั้นจะเสื่อมสรรพคุณ และเปลี่ยนจากสีทองเป็นสีน้ำตาลทันที ดังนั้น นางจึงปล่อยให้เกศาของราพันเซลยาวโดยมิได้ตัดเลย และมิให้ราพันเซลออกนอกหอคอยเลย ทั้งนี้ ทุก ๆ ปี ในวันคล้ายวันประสูติราพันเซล พระราชาและราษฎรของพระองค์จะปล่อยโคมลอยนับแสนดวงขึ้นสู่ฟ้า พวกเขาหวังว่าโคมลอยจะนำพาพระธิดาของพวกเขากลับมาอีกครั้ง
ในวันก่อนวันคล้ายวันประสูติปีที่สิบแปดของราพันเซล เธอขอให้กอเธลอนุญาตให้เธอออกไปดูโคมลอยนอกหอคอย แต่กอเธลไม่อนุญาต และให้สาเหตุว่า "โลกภายนอกมีแต่ภยันตรายและความชั่ว"
ขณะเดียวกัน กลุ่มโจรกลุ่มหนึ่ง นำโดย ฟลิน ไรเดอร์ ชายหนุ่มรูปงาม ได้ขโมยศิราภรณ์ของเจ้าหญิงผู้หายสาบสูญนั้นไปจากพระราชวัง ระหว่างที่เหล่าองครักษ์ไล่ตามกลุ่มโจรอย่างติดพันนั้น แม็กซิมัส ม้าของหัวหน้าองครักษ์ คลาดจากกลุ่มโดยไม่มีผู้ขี่ ม้าแม็กซิมัสจึงออกตามล่าฟลินเอง ในเวลานั้น ฟลินหลอกเอาศิราภรณ์ไปจากเพื่อนร่วมกลุ่ม แล้วหนีขึ้นไปซ่อนตัวที่หอคอยของราพันเซลซึ่งเขาพบโดยบังเอิญ แต่เขาถูกราพันเซลฟาดด้วยกระทะจนสลบไป เธอซ่อนเขาไว้ในตู้เสื้อผ้าของเธอ แล้วริบศิราภรณ์ไว้
เมื่อกอเธลกลับมา ราพันเซลขอให้นางไปเก็บเปลือกหอยมาให้เป็นของขวัญวันเกิดเพื่อนำมาทำสีระบายภาพ กอเธลยอมใช้เวลาเดินทางสามวันไปเอาของขวัญมาให้ ระหว่างนั้น ราพันเซลตกลงกับฟลินว่า ถ้าอยากได้ศิราภรณ์คืน ให้พาเธอออกไปนอกหอคอยเพื่อไปชมดูเหล่าโคมลอยที่เธอเข้าใจว่าเป็น "หมู่ดาว" ซึ่งปรากฏขึ้นทุก ๆ วันคล้ายวันเกิดของเธอ ฟลินพยายามให้ราพันเซลเลิกเดินทางแล้วกลับหอคอยไปเสีย โดยพาเธอไปค้างแรมที่ร้านลูกเป็ดหน่อมแน้ม (Snuggly Duckling Parlor) ที่เต็มไปด้วยคนเถื่อนชาวไวกิง ทว่า ชาวไวกิงกลับเอ็นดูราพันเซล และราพันเซลแนะนำให้พวกเขาทำความฝันของตนให้สำเร็จเหมือนที่เธอกำลังจะไปดูโคมลอยที่ฝันหามานาน
ระหว่างเดินทาง กอเธลพบม้าแม็กซิมัสที่ไม่มีคนขี่ และเกิดกังวลขึ้นมาว่า อาจมีคนไปพบราพันเซล จึงรีบกลีบไปยังหอคอย แต่พบว่า ราพันเซลไม่อยู่แล้ว ขณะนั้น เหล่าองครักษ์มาถึงร้านลูกเป็ดหน่อมแน้มเพื่อจับกุมฟลิน แต่ชาวไวกิงช่วยฟลินและราพันเซลหนีไปได้ การไล่ล่ายุติลงเมื่อม้าแม็กซิมัสทำให้เขื่อนแตก และฟลินกับราพันเซลติดอยู่ในถ้ำน้ำท่วมไร้ทางออก เมื่อคิดว่า ตนกำลังใกล้ความตาย เขาสารภาพว่า อันที่จริงตนเองชื่อ ยูจีน ฟิตซ์เฮอร์เบิร์ต ส่วนราพันเซลก็สารภาพว่า เธอมีเส้นผมวิเศษที่เรืองแสงได้เวลาที่เธอร้องเพลงมนต์ ทันใด ผมของเธอก็เรืองแสงขึ้นและชี้ทางออกให้แก่คนทั้งสอง ทั้งคู่จึงออกจากถ้ำปิดตายนั้นได้ และราพันเซลได้ใช้ผมของเธอเยียวยาบาดแพลของยูจีน คืนนั้น กอเธลติดตามมาพบราพันเซล และบอกเธอว่า ยูจีนไม่สนใจเธอจริง เขาประสงค์เพียงได้ศิราภรณ์เท่านั้น โดยกอเธลยืนยันให้ราพันเซลทดสอบยูจีนโดยคืนศิราภรณ์ให้ดู
ช้าวันต่อมา ม้าแม็กซิมัสพบยูจีน แต่ได้กลายเป็นเพื่อนกับราพันเซลไป และยอมร่วมทางไปกับคนทั้งสองเพื่อกลับอาณาจักรแล้วพาราพันเซลไปดูโคมลอย คืนนั้น ยูจีนพาราพันเซลล่องเรือไปกลางอ่าวหน้าพระราชวังเพื่อชมดูโคมลอยอย่างใกล้ ๆ ณ ที่นั้น ราพันเซลคืนศิราภรณ์ให้เขา แต่เขากล่าวว่า เขาไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้วเมื่อเขาได้พบเธอ ทันใด เขาสังเกตเห็นเพื่อนโจรของเขาที่เขาทิ้งมา เขาจึงละราพันเซลไปพบเพื่อนเพื่อยกศิราภรณ์ให้ ทว่า เพื่อนโจรจับเขามัดติดกับเรือแล้วให้แล่นเข้าไปในท่าของพระราชวัง พวกเขาบอกแก่ราพันเซลว่า ยูจีนทรยศความรู้สึกของเธอโดยชิงศิราภรณ์จากไปแล้ว และพวกเขาจะจับเธอเพื่อเอาผมเธอไปขายเสียเดี๋ยวนี้ แต่กอเธลช่วยราพันเซลไว้ได้ และพาเธอกลับหอคอย ทว่า ทั้งหมดนี้เป็นแผนการของกอเธล วันนั้น ยูจีนถูกจับและถูกพิพากษาประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ม้าแม็กซิมัสจึงนำพาชาวไวกิงที่ร้านลูกเป็ดหน่อมแน้มมาช่วยยูจีน และไปช่วยราพันเซลที่หอคอย
ราพันเซลคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้พบขณะเดินทางไปดูดูโคมลอย เธอจึงทราบว่า เธอคือเจ้าหญิงที่หายไปจากอาณาจักร และเธอพยายามหลบหนี กอเธอจึงจับเธอไว้ และเมื่อยูจีนมาถึงหอคอย กอเธลแทงเขาจากข้างหลัง แล้วกล่าวว่า นางจะพาราพันเซลหนีไปอยู่ที่อื่นแล้ว แต่ราพันเซลขอให้เธอให้ใช้ผมรักษายูจีนก่อน เธอจะยอมเป็นของกอเธลตลอดไป ก่อนราพันเซลจะได้ช่วยเยียวยายูจีน ยูจีนคว้าเศษกระจกมาตัดผมของราพันเซลเสียจนสั้น เส้นผมของราพันเซลจึงเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มและสูญเสียสรรพคุณไป กอเธลบันดาลโทสะเป็นอันมาก และร่างกายนางก็เปลี่ยนกลับสู่ความชราอย่างรวดเร็ว จนนางมิอาจยอมรับเงาของตนในกระจกได้ นางใช้ผ้าคลุมปิดหน้าตนเองไว้ ด้วยความโกรธและตื่นตกใจ นางวิ่งพล่านจนล้มคะมำพุ่งออกจากหน้าต่างหอคอยดิ่งลงสู่พื้นเบื้องล่าง ร่างกายของนางก็ร่วงโรยขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนนางจะปะทะกับพื้นแล้วป่นเป็นเถ้ากระดูกไป
ยูจีนค่อย ๆ ตายลงในอ้อมแขนของราพันเซล ด้วยความเสียใจ ราพันเซลร้องไห้และร้องเพลงมนต์ หยาดน้ำตาของเธอหยดลงบนแก้มของยูจีน และยังให้เขาฟื้นจากความตายอีกครั้ง ทั้งสองกอดและจูบกัน แล้วพากันกลับอาณาจักร พระหทัยของราชาและราชินีนั้นท้นไปด้วยน้ำตาของความปีติที่ได้พบพระธิดาอีกครั้ง หลายปีต่อมา ยูจีนและราพันเซลเสกสมรสกัน ส่วนชาวไวกิงก็ทำความฝันของพวกตนให้เป็นจริง ฝ่ายม้าแม็กซิมัสนั้นก็ได้บรรจุเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นสูงในกององครักษ์




วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

into the woods

                                                           Into  the  Woods
        


1.รู้จักจุดเริ่มต้นของ Into the Woods

หลายคนอาจจะยังเข้าใจว่ามันเป็นหนังที่หยิบเอาหนังการ์ตูนดิสนีย์มายำรวมๆกัน แต่เปล่าเลยแท้ที่จริงแล้วต้นฉบับของมันคือการเอาละครเวทีในชื่อเดียวกัน ซึ่งเป็นละครบรอดเวย์ของผู้ประพันธ์เพลงผู้โด่งดังอย่างสตีเฟน ซอนด์ไฮม์ ซึ่งจัดได้ว่าเป็นผลงานเรื่องที่โดดเด่นและสะเทือนอารมณ์ที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว 



2.จากผู้กำกับ CHICAGO สู่ INTO THE WOODS 

ร็อบ มาร์แชล ผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างของหนัง หลังจากที่เขาประสบความสำเร็จมากหลังจากที่ทำหนังเพลงใน Chicago จนกล่าวได้ว่าเขานี่แหละที่ปลุกชีพหนังเพลงให้กลับมาโลดแล่นและเป็นที่นิยมอีกครั้งกับ 6 รางวัลออสการ์ที่รวมไปถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย เขายังประสบความสำเร็จกับหนังอย่าง Memoirs of a Geisha และหนังเพลงอย่าง Nine อีกด้วย นอกจากการกำกับภาพยนตร์ร๊อบก็ยังคงรักในการทำละครเวทีเขายังเป็นคนกำกับและออกแบบท่าเต้นสำหรับละครเรื่อง “Cabaret” โปรดักชันที่ได้รับรางวัลทั่วโลก และได้กำกับและออกแบบท่าเต้นให้กับละครบรอดเวย์เรื่อง “Little Me” อีกด้วย 



3.เรื่องราวของคนทำขนมปังผู้อยากมีลูก 

ถึงหนังเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเทพนิยายหลายเรื่องแต่แกนกลางของเรื่องจะเล่าเรื่องราวของคนทำขนมปังที่ได้รับรู้ว่าครอบครัวของเขาถูกสาปให้ลูกชายในบ้านกลายเป็นหมัน แม่มดจึงได้ปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อยื่นขอเสนอให้หาวัตถุดิบมาถอนคำสาปก่อนที่พระจันทร์สีฟ้าจะเกิดขึ้นในอีกสามวันซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นในทุก 100 ปีเท่านั้น ของสี่อย่างที่คนทำขนมปังต้องหาก็คือแม่วัวที่สีขาวราวน้ำนม เส้นผมที่มีสีเหลืองราวข้าวโพด ผ้าคลุมที่สีแดงราวกับเลือด และรองเท้าที่บริสุทธิ์ราวทองคำ โดยระหว่างเดินทางนั้นเองเขาก็ได้พบกับทั้งหนูน้อยหมวกแดง แจ็คเด็กชายผู้ปีต้นถั่ว ซินเดอร์เรล่าที่หนีจากงานเต้นรำ ราพันเซลผู้ถูกแม่มดขังไว้บนหอคอย ภารกิจการตามล่าของยิ่งยากกว่าเมื่อ “ราคา” ที่พวกเขาต้องจ่ายหลังคำร้องขอนั้นมีผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง 



4.เทพนิยายตลกและมืดหม่น 

INTO THE WOODS จะไม่ได้หวานใสและสดสวยแบบในการ์ตูนดิสนีย์แน่นอน เนื่องจากตัวเวอร์ชั่นละครบรอดเวย์นั้นได้เอาเค้าโครงเรื่องมาจากในวรรณกรรมต้นฉบับและหยิบมันเอามายั่วล้อความเป็นเทพนิยายในตัวเองอีกทีหนึ่ง รวมไปถึงเลือกจะเล่า “ด้านมืด” ของเทพนิยายออกมาในช่วงครึ่งหลังของหนังอีกด้วย 



5.ดาราดังคับจอ

เรียกได้ว่าในหนังเวอร์ชั่นนี้ได้ดาราดังมาร่วมทีมทั้งฝากละครเวทีและทั้งจอเงินอาทิ เมอริล สตรีพ (แม่มด), เอมิลี บลันท์ (ภรรยาของคนทำขนมปัง), เจมส์ คอร์เดน (คนทำขนมปัง),แอนนา เคนดริค (ซินเดอเรลลา), คริส ไพน์(เจ้าชายของซินเดอเรลลา), คริสติน บาแรนสกี้(แม่เลี้ยง), เทรซีย์ อัลล์แมน (แม่ของแจ็ค),จอห์นนี เดปป์ (หมาป่า), ลิลลา ครอว์ฟอร์ด(หนูน้อยหมวกแดง), แดเนียล ฮัตเติลสโตน(แจ็ค), บิลลี แม็กนัสเซน (เจ้าชายของราพันเซล) และ แม็คเคนซีย์ เมาซี (ราพันเซล)
  








ซินเดอเรลล่า

ดิสนีย์ปล่อยตัวอย่างแรก “ซินเดอเรลล่า” งานเทพนิยายคลาสสิคสุดอลังการ


เคท บลันเชตต์ ลิลี่ เจมส์ ริชาร์ด แมดเดน สเตลลัน สการ์การ์ด และ เฮเลน่า บอนแฮม-คาร์เตอร์  นำแสดงในภาพยนตร์ที่กำกับโดย เคนเนธ บรานาห์ วอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์ ปล่อยตัวอย่างเต็มตัวแรกของ “ซินเดอเรลล่า”ภาพยนตร์ไลฟ์-แอ็คชั่น(คนแสดง) ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเทพนิยายสุดคลาสสิค เมื่อคืนวานนี้เวลา 3 ทุ่มประเทศไทย “ซินเดอเรลล่า” ได้นำภาพลักษณ์ของแอนิเมชั่นระดับมาสเตอร์พีซของดิสนีย์ในปี 1950 ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ด้วยความสมจริงของตัวละครและงานภาพที่สวยงามตระการตาสำหรับคนในยุคปัจจุบัน



ตัวอย่างได้แนะนำ ลิลี่ เจมส์ (“ดาวน์ตัน แอ็บบี้”) สู่ผู้ชม ในบท “ซินเดอเรลล่า” สาวน้อยแสนสวยผู้มีจิตใจอันงดงาม ที่ต้องเจอกับความร้ายกาจและถูกกลั่นแกล้งจากแม่เลี้ยงใจร้ายและเหล่าพี่สาวของเธอ แต่เธอก็ยังคงคิดบวกและอดทนต่อสิ่งเหล่านั้น เช่นเดียวกันกับภาพของนักแสดงหญิงรางวัลออสการ์ เคท บลันเชตต์ (“บลู จัสมิน”) ในบทแม่เลี้ยงใจร้าย ริชาร์ด แมดเดน (“เกม ออฟ โธรนส์”) เป็นเจ้าชายรูปงามผู้ชาญฉลาดและจิตใจดี และรองเท้าแก้วที่ไม่มีใครเหมือน รองเท้าที่ถูกออกแบบโดย แซนดี้ โพเวลล์ (“ดิ เอวิเอเตอร์”) นักออกแบบเครื่องแต่งกายเจ้าของ 3 รางวัลออสการ์ และถูกผลิตโดย ชวารอฟสกี้ ที่ทำออกมาจนกลายเป็นงานศิลปอันงดงาม

เรื่องราวของเรื่องราวของ “ซินเดอเรลล่า”ดำเนินตามโชคชะตาของสาวน้อย “เอลล่า” (ลิลี่ เจมส์)  ลูกสาวของพ่อค้าที่แต่งงานใหม่หลังจากการตายของแม่เธอ ด้วยความที่ต้องการสนับสนุนบิดาผู้เป็นที่รัก เอลล่าต้อนรับแม่เลี้ยงคนใหม่ (เคท บลันเชตต์) และลูกสาวของเธอ อนาสเทเชีย (ฮอลลิเดย์ เกรนเจอร์) และดริเซลล่า (โซฟี แมคชีรา) สู่บ้านของครอบครัว แต่เมื่อพ่อของเอลล่าได้จากไปอย่างไม่คาดคิด เธอก็รู้ตัวว่าเธอกำลังตกอยู่ภายใต้ความอนุเคราะห์ของครอบครัวใหม่ขี้อิจฉาและร้ายกาจ สุดท้ายก็ไม่พ้นการเป็นสาวรับใช้ที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่นและได้ฉายาใหม่จากความเกลียดชังว่า ซินเดอเรลล่า ความหวังของเอลล่าเริ่มหมดลง แต่นอกเหนือจากความโหดร้ายที่ถาโถมเข้ามาสู่เธอ เอลล่าตัดสินใจที่จะยึดมั่นในคำสั่งเสียสุดท้ายของแม่เธอที่ว่า “จงกล้าหาญและมีเมตตา” 



เธอจะไม่ยอมแพ้ให้กับความสิ้นหวังหรือคำดูถูกของคนที่ทำไม่ดีกับเธอ และเมื่อเธอได้พบกับชายแปลกหน้ารูปงามในป่า โดยที่เธอไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาคือเจ้าชาย คิดว่าเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ในวังเท่านั้น ในที่สุดเธอก็รู้สึกว่าเธอได้พบกับผู้ที่มีจิตใจอันอ่อนโยน ดูเหมือนว่าโชคชะตาชีวิตของเธอกำลังจะปลี่ยนไป เมื่อพระราชวังได้ประกาศเชิญหญิงสาวทั่วเมืองมาร่วมงานเต้นรำ ทำให้เธอกลับมีความหวังในการที่จะได้เจอกับ คิท ผู้ทรงเสน่ห์ (ริชาร์ด แมดเดน) ขึ้นมาอีกครั้ง แต่แล้ว แม่เลี้ยงของเธอก็ได้สั่งห้ามเธอไปร่วมงานนี้และได้ฉีกทำลายชุดของเธอ เช่นเดียวกับในเทพนิยายดีๆเรื่องอื่นๆ ความช่วยเหลือมาถูกเวลาเสมอ และหญิงขอทานผู้ใจดี (เฮเลน่า บอนแฮม-คาร์เตอร์) ก็ได้ปรากฎตัวขึ้น พร้อมกับฟักทองและหนู 2- 3 ตัว ที่จะเปลี่ยนชีวิตของซินเดอเรลล่าไปตลอดกาล 
                 
                                     ตัวอย่าง!!!


วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

 เดอะลิทเทิลเมอร์เมด

                                 เดอะ ลิตเติ้ล เมอร์เมด
            


       เดอะ ลิตเติ้ล เมอร์เมด (The Little Mermaid) สร้างขึ้นจากเทพนิยายของ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน (Hans Christian Andersen) ซึ่งสร้างเป็นการ์ตูนครั้งแรกโดยสหภาพโซเวียตในปี 1968 ชื่อเรื่อง Rusalochka (The Little Mermaid) และปี 1976 สหภาพโซเวียตและบัลแกเรียก็ได้ร่วมกันสร้างขึ้นมาอีกครั้ง และมาถึงปี 1989 ตำนานนางฟ้าเรื่องนี้ก็ถูกสร้างขึ้นเป็นภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่น โดยบริษัทวอลซ์ ดิสนีย์ โด่งดังจนเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกในชื่อ The Little Mermaid


        เรื่องราวของเงือกน้อยนอกจากได้รับการนำมาสร้างเป็นการ์ตูนวอลซ์ ดิสนีย์แล้ว ยังมีการนำโครงเรื่องในตำนานมาสร้างในหลายรูปแบบ เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Splash สร้างขึ้นในปี 1984 โดย Ron Howard แสดงนำโดย Tom Hanks และ Daryl Hannah และมาถึงปี 2003 – 2004 สถานีโทรทัศน์ของญี่ปุ่นก็ได้แพร่ภาพการ์ตูนเรื่อง Mermaid Melody Pichi Pichi Pitch ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากตำนานเงือกน้อย (The Little Mermaid) นี้เช่นกัน โดยเป็นเรื่องของ ลูเซีย (Lucia) เจ้าหญิงเงือกน้อยแห่งมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ ได้ช่วยเด็กผู้ชายที่จมน้ำ แล้วก็ได้มอบไข่มุกสีชมพูไปกับเด็กผู้ชายคนนั้น ต่อมาเจ้าหญิงก็มาสู่เมืองมนุษย์เพื่อมาตามหาเด็กผู้ชายและไข่มุกสีชมพู เพื่อช่วยอาณาจักรใต้สมุทรของเธอ        ด้วยความเป็นการ์ตูน จึงต้องแต่งเติมสีสันแห่งความสนุกสนาน พร้อมกับตอนจบที่สมหวัง ซึ่งแท้จริงแล้ว ตำนานดั้งเดิมฉบับเทพนิยายแอนเดอร์สัน จะเป็นอย่างไร เราลองมาดูเรื่องเต็ม ๆ กัน        เรื่อง เดอะลิตเติ้ล เมอร์เมด ฉบับดั้งเดิม ซึ่งเขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1836 นี้ เรามักรู้จักกันทั่วไปในซีรี่ส์ของเทพนิยายแอนเดอร์สัน แม้ตอนจบจะไม่ได้เป็นเช่นในการ์ตูน แต่ก็แฝงคติสอนใจให้เด็ก ๆ ได้ไม่น้อย และยังจบด้วยการชักชวนให้เด็ก ๆ มาเป็นเด็กดีของพ่อแม่ผู้ปกครอง



สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด

สโนว์ไวท์ นิทานอมตะ

สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด (อังกฤษ: Snow White and 
the Seven Dwarfs) คือภาพยนตร์อเมริกาออกฉายเมื่อปี พ.ศ. 2480 มีโครงเรื่องจากนวนิยายเรื่องสโนว์ไวต์ ผลงานการประพันธ์ของพี่น้องตระกูลกริมม์เป็นการผลิตในรูปแบบภาพยนตร์การ์ตูนเต็มรูปแบบครั้งแรกของวอลท์ดิสนีย์ และเป็นภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาวเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์อเมริกา

สโนว์ไวต์กับคนแคระทั้งเจ็ด ณ โรงละคร Carthay Circle ในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2480 ต่อมาได้จัดจำหน่ายโดย RKO Radio Pictures เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 เรื่องราวของเรื่องปรับปรุงมาจากแผ่นป้ายเรียบเรียงฉาก ของ Ann Blank, Richard Creedon, Merrill De Maris, Otto Englander, Earl Hurd, Dick Rickard, Ted Sears และ Webb Smith จากนวนิยายเยอรมันเรื่อง สโนว์ไวต์ ของพี่น้องตระกูลกริมม์ เดวิด แฮนด์เป็นผู้อำนวยการผลิต ส่วน William Cottrell, Wilfred Jackson, Larry Morey, Perce Pearce และ Ben Sharpsteen กำกับลำดับภาพ

สโนว์ไวต์กับคนแคระทั้งเจ็ด เป็นหนึ่งใน 2 ภาพยนตร์การ์ตูนที่ติดอันดับภาพยนตร์อเมริกาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 100 เรื่อง จากสถาบันภาพยนตร์สหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2540 (อีกเรื่องหนึ่งคือ แฟนเทเชีย) โดยอยู่ในอันดับที่ 49 และอีก 10 ปีต่อมา (พ.ศ. 2550) ภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นสู่ดันดับที่ 34 และในปีต่อมาภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เข้าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

เนื้อเรื่องย่อ


กาลครั้งหนึ่งในดินแดนสุดมหัศจรรย์ ยังมีองค์หญิงน้อยแสนงามผู้มีผมดำดุจไม้มะเกลือ ริมฝีปากแดงดั่งกุหลาบและมีผิวขาวผ่องดังหิมะ เธอคือสโนไวท์ ผู้ที่รู้จักเธอล้วนรักเธอเว้นแต่ราชินีแม่เลี้ยงใจร้ายผู้ริษยาในความงามของเธอสโนไวท์อาศัยอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ที่มีน้ำตกเจ็ดชั้นและภูเขาอัญมณีเจ็ดลูกที่ภายในมีอัญมณีเลอค่ามากมาย ภูเขาที่อยู่ห่างไกลที่สุดเป็นที่ตั้งของปราสาทที่สโนไวท์เติบโตมาภายใต้อำนาจของราชินี

ถึงแม้ว่าความปรารถนาที่จะมีรักแสนหวานของเธอจะดูเป็นไปไม่ได้แต่ความรักก็สามารถหาทางของมันได้เสมอแม้ว่าเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งก็ยังไม่สามารถห้ามให้เจ้าชายหลงรักสโนไวท์ได้

ราชินีเกรงว่าสักวันสโนไวท์จะเติบโตและงดงามกว่าพระนาง ด้วยเหตุนี้พระนางจึงใช้ให้สโนไวท์ทำงานหนักดั่งทาส และเมื่อกระจกวิเศษเผยแก่ราชินีว่าสโนไวท์งดงามกว่าพระนาง ชีวิตของสโนไวท์ก็ตกอยู่ในอันตราย จนกระทั่งเธอได้พบเพื่อนตัวเล็กๆทั้งเจ็ดคนที่ช่วยเหลือเธอไว้

สโนไวท์วิ่งหนีใปในป่ามืด ดูเหมือนว่าต้นไม้เกิดมีชีวิตและพยายามจะฉุดรั้งสโนไวท์เอาไว้ เธอเหนื่อยล่าและหวาดกลัวจนกระทั่งหมดแรงและล้มลงกลางป่า แล้วสิ่งที่ทำให้เธอมีชีวิตชีวาอีกครั้งก็คือเสียงเพลงและรอยยิ้ม

ระหว่างที่สโนไวท์กำลังทำกูซเบอร์รี่พายของโปรดของเหล่าคนแคระ แม่ค้าเร่ก็เข้ามาคะยั้นคะยอเธอให้ทำแอปเปิ้ลพายด้วยลูกแอปเปิ้ลสีแดงสดในมือนาง และเมื่อสโนไวท์อธิษฐานต่อแอปเปิ้ลเธอกัดมันและสลบลงไปนอนกองกับพื้นทันที!

หลังจากผ่านไป 3 คืน สโนว์ไวท์ก็ตื่นขึ้นมาเจอเจ้าชาย เจ้าชายได้จุมพิตนางทำให้นางฟื้นขึ้นมา และต่อสู้กับราชินีจนทำให้ราชินีตาย ทำให้ต่อมาทุกคนอยู่อย่างเป็นสุข