วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

มิคกี้เมาส์


                             เริ่มต้น...มิคกี้เมาส์



ภาพยนตร์เรื่องแรกที่มิกกี้ เมาส์เป็นพระเอกเป็นการ์ตูนเรื่อง Plane Crazy ซึ่งเป็นเรื่องราววิบากของมิคกี้บนเครื่องบิน ต้องใช้เงินสร้าง 1,800ดอลลาร์ต่อตอนจากนั้นก็ตามมาด้วย The Gallopin Gaucho และพอถึงภาพยนตร์การ์ตูนตอนที่ 3 ของมิคกี้ เมาส์ชื่อ Steamboat Willie เจ้ามิคกี้ เมาส์ ก็เปลี่ยนวงการการ์ตูนภาพเคลื่อนไหวตลอดกาล ในไม่ช้าหนูมิคกี้ก็กลายเป็นการ์ตูนที่คนทั้งประเทศหลงใหลคลั่งไคล้ และไม่เพียงเฉพาะเด็กๆเท่านั้น


            ความสำเร็จของ Steamboat Willie ทำให้วอลท์ ดิสนีย์เป็นที่ต้องการตัวมาก เขาเริ่มสร้างการ์ตูนมิคกี้ เมาส์ในรูปแบบใหม่ๆเดือนละ 1 แบบ สตูดิโอหลายแห่งรวมทั้งยูนิเวอร์แซล อยากจะเป็นผู้จัดจำหน่ายให้แก่ดิสนีย์ หรือแม้แต่ซื้อกิจการของบริษัทเขาเลย แต่เขาไม่สนใจขายกิจการ


            เขาพยายามศึกษาระบบสตูดิโอ และจัดจำหน่ายการ์ตูนของเขาให้แก่โรงภาพยนตร์รายย่อย แต่เขาพบว่า ในระหว่างที่มิคกี้ เมาส์ทำเงินมหาศาล แต่เงินที่ไหลกลับเข้ามือของวอลท์ ดิสนีย์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในที่สุดปี 1930 เขาก็ยอมเซ็นสัญญากับสตูดิโอแห่งหนึ่ง มอบหมายให้โคลัมเบียพิคเจอร์เป็นผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์การ์ตูน โดยเขาได้รับเงินตอนละ 7,000 ดอลลาร์ ทั้งสองฝ่ายจะแบ่งเงินกัน แต่วอลท์ ดิสนีย์ยังคงถือลิขสิทธิ์อยู่


            บริษัทโคลัมเบีย พิคเจอร์สจัดจำหน่ายการ์ตูนของดิสนีย์ไปทั่วโลก ในปี1930 เจ้าหนูมิคกี้กลายเป็นปรากฏการณ์ความสำเร็จระดับโลกชนิดเฉียบพลัน คนอิตาลีเรียกขานเจ้าหนูตัวนี้ว่า Topolinoในสเปนมิคกี้ได้ชื่อว่า  Miguel Rotoncito ส่วนในสวีเดนชื่อของมันเป็นMusse Pigg นอกจากนี้เขาตีพิมพ์หนังสือการ์ตูนมิคกี้ เมาส์ออกมา ปรากฏว่าแค่ปีแรกสามารถจำหน่ายได้ถึง97,938 เล่ม นอกจากนี้เขายังทำสัญญาตกลงกับคิง ฟีเจอร์ เพื่อสร้างการ์ตูนชุคมิคกี้ เมาส์ 3 ช่องในหนังสือพิมพ์ ซึ่งทำให้บริษัทส่งเสริมการกระจายชมรมมิคกี้ เมาส์ ซึ่งเริ่มผุดขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศได้


            ในปี 1932 วอลท์ ดิสนีย์ ได้จ้างนักธุรกิจชื่อ เคย์ แคเมน แห่งนิวยอร์ก ให้มาช่วยคิดหาวิธีการสร้างความมีเสน่ห์ทางการค้าให้แก่มิคกี้  ซึ่งในขณะที่การให้สัมปทานผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่เจ้าหนูมิคกี้ เมาส์ กลับสร้างสถิติใหม่อย่างรวดเร็ว งานแรกของแคเมนคือการให้สัมปทานผลิตไอศกรีมโคนเพียงชั่วเดือนแรกได้ประมาณ 10ล้านอัน ครั้นปลายปี บริษัทต่างๆตั้งแต่RCA ไปจนถึงเจเนอรัล ฟูดส์ ต่างก็มีส่วนช่วยขายเจ้าหนูตัวนี้ โดยทั่วๆไปนั้น ดิสนีย์จะได้รับส่วนแบ่ง 5 เปอร์เซ็นต์ ของราคาขายส่งสินค้าที่ได้รับสิทธิ์สัมปทาน แต่ในช่วงปีแรกที่แคเมนทำงานกับบริษัทการตกลงของเขาสร้างผลกำไรประมาณ300,000 ดอลลาร์ หรือเกือบ 1 ใน 3 ของรายได้ทั้งหมด


            โอกาสงามที่วอลท์ ดิสนีย์ได้ยินว่ามาเคาะประตูบ้านเขา ตอนที่เจ้ามิคกี้ เมาส์พูดได้เป็นครั้งแรก ดูเหมือนจะเปลี่ยนจากเคาะมาเป็นเตะประตูแรงๆ ตลอดช่วงระยะเวลาที่การ์ตูนมิคกี้ เมาส์ ส่งผลไปเป็นชุดแล้ว วอลท์ ดิสนีย์เองก็พยายามทำงานมากเกินไป ผลิตภาพยนตร์สั้นมิคกี้ เมาส์ ตอนใหม่ออกมาทุกเดือน ใช้ประโยชน์ทำธุรกิจทุกด้านที่มีอยู่ จนตัวเองถึงขนาดพับไป และภรรยาคือผู้พบเขานอนสลบไสล ทว่าเมื่อกลับไปทำงานอีกครั้งหลังพักยาว ดิสนีย์กลับมามุงานหามรุ่งหามค่ำยิ่งกว่าก่อนหน้านั้นเพื่อสร้างบริษัทขึ้นมา


            ผลกำไรที่เพิ่มขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 30 ทำให้วอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอ สามารถลงทุนปรับปรุงคุณภาพการ์ตูนเคลื่อนไหวของตนได้ ซึ่งในขณะที่ผู้รับสิทธิ์ทั้งหลายต่างก็ผลิตสินค้าจากตัวการ์ตูนของเขาออกมาเป็นระลอก ดิสนีย์ก็ประกาศชัดว่าภาพยนตร์การ์ตูนของเขานั้นไม่ใช่แค่ผลผลิตเพื่อการค้า แต่เป็นรูปแบบใหม่ของศิลปะที่ถูกต้อง ในปี 1932สตูดิโอของเขาจึงเป็นแห่งแรกที่เริ่มเปิดโรงเรียนของตนเองที่ซึ่งดิสนีย์สามารถอบรมความรู้ให้แก่นักวาดการ์ตูนคนรุ่นใหม่ในวิธีของเขาเอง เขาจัดหาเทคโนโลยีภาพยนต์การ์ตูนล่าสุด มอบวัสดุคุณภาพสูงสุดให้ผู้เข้าอบรมได้ใช้งาน ต่อมาก็ได้สร้างตัวการ์ตูนอย่าง โดแนลด์ ดัค ,พลูโตและกูฟฟี่ ขึ้นมา ทำให้เขาสามารถโกยกำไรจากตัวการ์ตูนเหล่านี้ได้มากมาย


            ถึงแม้ตัวละครหน้าใหม่ๆ จะแพร่หลายมากขึ้น แต่มิคกี้ เมาส์ก็ยังคงเป็นหนึ่งในหัวใจของวอลท์ ดิสนีย์อยู่ดี เขาจะติดนาฬิกามิคกี้ เมาส์เรือนใหญ่ไว้บนผนังห้องทำงาน ในสมุคเช็คของบริษัทก็จะพิมพ์รูปมิคกี้ เมาส์เอาไว้ด้วย


            ในญี่ปุ่น เจ้าหนูมิคกี้ เมาส์รู้จักในนามของ มิกิ คูชิ เป็นสิ่งที่คนรู้จักกันแพร่หลายมากที่สุดรองลงมาจากองค์พระจักรพรรดิ์ และในฐานะเป็นผู้สร้างมิคกี้ เมาส์ขึ้นมา วอลท์ ดิสนีย์เองก็กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียง ตอนที่เขาเดินทางไปอังกฤษเมื่อปี 1937 เขาก็ร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำกับพระราชินีแห่งอังกฤษ และได้เข้าพบ เอช.จี.เวลส์ ปีถัดมาเขาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากทั้งมหาวิทยาลัยเยลและฮาร์วาร์ด มีหลายครั้งด้วยกันที่เส้นแบ่งระหว่างผู้สร้างสรรค์กับการ์ตูนดัง รางเลือนมากเสียจนกลมกลืนไปด้วยกัน ตอนที่ดิสนีย์รับรางวัลจากสันนิบาตแห่งชาติในกรุงปารีส เขาถึงขนาดขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์ด้วยเสียงที่ใช้พากษ์เป็นตัวมิคกี้ เมาส์





          ในปี 1934 วอลท์ ดิสนีย์ก็ตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งไม่เคยมีใครในฮอลลีวู้ดคิดทำมาก่อน นั่นก็คือ ผลิตภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาว คือ นิทานสโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด ปรากฏว่า ทั่วทั้งประเทศผู้ชมต่างแห่แหนไปออกันแน่นขนัดตามโรงภาพยนตร์  สโนว์ไวท์สามารถคืนทุนได้อย่างรวดเร็ว พอเปิดฉายเพียงครั้งแรก ก็สามารถทำเงินให้วอลท์ ดิสนีย์ ถึง 8.5 ล้านดอลลาร์ และได้รับรางวัลอเคเดมี อวอร์ด รางวัลพิเศษ


            เมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จ วอลท์และรอย ก็ตัดสินใจลงทุน100,000 ดอลลาร์ซื้อที่ดินย่านเบอร์แบ็งค รัฐแคลิฟอร์เนีย จำนวน 51 เอเคอร์เพื่อสร้างเป็นสตูดิโอแห่งใหม่สำหรับผลิตการ์ตูนภาพเคลื่อนไหว





          กลางทศวรรษ 1950 ดิสนีย์เริ่มขายผลงานให้แก่วงการโทรทัศน์ ซึ่งเป็นช่องทางจำหน่ายใหม่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ภายหลังทดลองออกอากาศทางโทรทัศน์หลายรายการในปี 1954 ดิสนีย์ก็เซ็นสัญญาระยะยาวให้สิทธิ์ขาดกับABC แต่เพียงผู้เดียว และเป็นผู้ผลิตชั้นนำของฮอลลีวู้ดรายแรกที่ทำแบบนั้น


            รายการโทรทัศน์โปรแกรม ดิสนีย์แลนด์ ซึ่งมีวอลท์ ดิสนีย์เป็นพิธีกร มีตัวการ์ตูนต่างๆ และภาพยนตร์สารคดีธรรมชาติมาออกอากาศประเดิมในปี1954 หลังจากนั้นความมหัศจรรย์ของดิสนีย์ ก็สร้างความพิศวงผ่านทางจอเล็ก ในช่วงฤดูกาลแรกที่ออกอากาศ รายการนี้สามารถทำเรตติ้งตามการจัดอันดับของนีลสัน อันดับที่ 41 อย่างน่าแปลกใจ ซึ่งหมายความว่า มีคนดูแวะเวียนเข้ามาชมรายการของเขาประมาณ 30.8 ล้านคน จากทั้งหมด 75 ล้านคน


            ปีถัดมา ดิสนีย์ก็สร้างชมรมมิคกี้ เมาส์ ซึ่งก็ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ทางโทรทัศน์ ดึงดูดผู้ชมทั้งเด็กและวัยรุ่นอย่างมากมาย นอกเหนือจากสร้างดาราเด็กแสดงเป็นหนูอย่างแอนเนต ฟูนิเซลโลขึ้นมาแล้ว รายการนี้ยังดันยอดขายสิทธิ์สัมปทานผลิตภัณฑ์ของดิสนีย์ให้พุ่งลิ่วอีกด้วย ช่วงที่รายการได้รับความนิยมสูงตอนกลางทศวรรษ 1950 สินค้าเป็นหูของมิคกี้ เมาส์ สามารถจำหน่ายได้ถึงวันละประมาณ 25,000 ชุด


            วอลท์ ดิสนีย์ จะให้เสี้ยวหนึ่งแห่งโลกจินตนาการของเขาแก่ผู้ชม ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเสมอ แต่เขาก็ต้องการวิธีดึงจินตนาการของเขาออกมาโลดแล่นมีชีวิตอย่างแท้จริง เขาตัดสินใจแยกจากความบันเทิงผ่านสื่อทั้งหลายด้วยความห้าวหาญ หันมามุ่งมุ่นตั้งใจสร้างสวนสนุกขึ้นมาแห่งหนึ่ง ดิสนีย์ได้รับแนวคิดนี้ระหว่างมองบุตรสาวสองคนของเขาเล่นม้าหมุน


            ในขณะที่ดิสนีย์แลนด์เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง บริษัทต่างๆก็เริ่มตระหนักถึงโอกาสทางการค้าของสวนสนุกแห่งนี้ และยอมจ่ายเพื่อเช่าหรือซื้อสัมปทานพื้นที่จำหน่ายสินค้าของตนเอง หรือมิฉะนั้นก็เพื่อให้ชื่อของตนเองปรากฏอยู่บนของเล่นในสวนสนุกเพื่อประชาสัมพันธ์


            ดิสนีย์แลนด์กลายเป็นสวนสนุกให้ความบันเทิงใหญ่สุดของประเทศ เปิดโอกาสให้คนอเมริกันได้สัมผัสกับบรรยากาศสวนสนุกสมบูรณ์แบบเป็นครั้งแรก และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ทำให้คนอเมริกันได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบกับสิ่งประดิษฐ์ การเปิดสวนสนุกของดิสนีย์แลนด์ได้จังหวะเหมาะสม เพราะประเทศอเมริกากำลังอยู่ในระหว่างยุคประชากรเบ่งบาน เด็กที่เกิดระหว่างปี 1946-1964เพิ่มขึ้นวันละ 10,000 คน ทำให้ทั่วประเทศมีเด็กถึง 76.4 ล้านคน ทั้งหมดหลั่งไหลไปดิสนีย์แลนด์พร้อมผู้ปกครอง


            ก่อนเปิดสวนสนุก บริษัทวอลท์ ดิสนีย์ โปรดักชั่น มีส่วนได้ส่วนเสียในดิสนีย์แลนด์อยู่แค่ 1 ใน 3 แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ครอบครองเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว และเขาได้ขยายอาณาจักร เริ่มต้นด้วยการวางแผนสร้างดิสนีย์ เวิลด์ ในปี 1958 ใน ฟลอริดา และต่อมาก็ได้ขยายไปยังต่างประเทศ


            สวนสนุกมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์แห่งนี้ เปิดให้เข้าชมได้ในปี 1971 ดิสนีย์ เวิลด์ ไม่ใช่แค่ก็อปปี้ของดิสนีย์แลนด์แห่งชายฝั่งตะวันตกเท่านั้น แต่เป็นจุดบันดาลใจในฐานะแบบอย่างการวางผังเมือง มีรีสอร์ทที่พักในบริเวณ,โรงแรมและมีศูนย์EPCOT (Experimental Prototype Community of Tomorrow) ซึ่งเป็นศูนย์ทางด้านการศึกษา ที่จัดสภาพแวดล้อมเหมือนโลกอนาคต มีซุ้มพลับพลาต่างๆ จัดแสดงประเทศต่างๆเอาไว้


            ในด้านภาพยนตร์นั้น เขาเรียนรู้ในเวลาต่อมาว่า คนรุ่นต่อๆมาก็สามารถจะนำเอาภาพยนตร์ของครอบครัวกลับมาดูกันใหม่ ราวกับเป็นของใหม่เอี่ยม สำหรับผู้ชมการ์ตูนนั้น เขากำหนดคนแต่ละรุ่นไว้ว่าห่างกันประมาณ 7 ปี และมีการทำเป็นวีดีโอ จัดจำหน่าย สร้างรายได้แต่ละเรื่องเป็นร้อยล้านดอลลาร์


            วอลท์ ดิสนีย์ ไม่ได้มีอายุยืนยาวจนทันเห็นดิสนีย์ เวิลด์ สร้างเสร็จ เขาเป็นเหยื่อมะเร็งในปอด เสียชีวิตเมื่อวันที่ 15ธันวาคม ปี 1966 ด้วยวัย 65 ปี เขาทิ้งบริษัทให้กลายเป็นเสมือนหนึ่งอนุสาวรีย์ของเขา และทิ้งบริษัทที่กลายเป็นส่วนหนึ่งที่แยกไม่ออกของครอบครัวชาวอเมริกัน

               



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น