วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Big Hero6

                                Big Hero 6
                       


ด้วยเรื่องราวอันน่าประทับใจและมุกตลกที่แฟนๆคาดหวังจาก วอลท์ ดิสนีย์ แอนิเมชั่น สตูดิโอส์ สู่ภาพยนตร์แอ็คชั่นผจญภัยแฝงอารมณ์ขัน “Big Hero 6 - บิ๊กฮีโร่ 6” เรื่องราวของหนุ่มน้อยนักประดิษฐ์ ฮิโระ ฮามาดะ ที่กำลังเรียนรู้ถึงอัจฉริยภาพที่เขามี

ต้องขอบคุณทาดาชิ พี่ชายที่ปราดเปรื่องของเขา รวมถึงเพื่อนๆ อย่าง โกโก ทามาโกะ จอมไฮเปอร์, วาซาบิ โนะ-จินเจอร์ เจ้าระเบียบ, ฮันนี่ เลม่อน แม่มดเคมี, และแฟนบอย เฟรด เมื่อหายนะกำลังคลืบคลามเข้ามาและดึงพวกเขาเข้าไปสู่เรื่องราวสุดอันตรายที่เกิดขึ้นใน ซานฟรานโซเกียว เมืองลูกผสมระหว่าง ซานฟรานซิสโก กับ โตเกียว

ฮิโระ จึงต้องพึ่งหุ่นยนต์เพื่อนซี้ของเขาที่ชื่อเบย์แมกซ์ และเปลี่ยนเพื่อนๆของเขาให้กลายเป็นกลุ่มของฮีโร่สุดไฮเทคเพื่อคลี่คลายเรื่องราวที่เกิดขึ้น

ภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่มีกลิ่งอายของมังงะ หรือการ์ตูนญี่ปุ่น เรื่องนี้ได้นักแสดงมากมายมาร่วมให้เสียง ตัวละครต่างๆ ซึ่งได้แก่ ไรอัน พอตตเตอร์ ให้เสียง ฮิโระ ฮามาดะ, สก็อตต์ แอดซิท ให้เสียง เบย์แมกซ์, ที.เจ. มิลเลอร์ ให้เสียง เฟรด,เจมี่ ชุง ให้เสียง โกโก ทามาโกะ, เดม่อน เวย์ยันส์ จูเนียร์ ให้เสียง วาซาบิ,เจเนซิส โรดิเกวซ ให้เสียง ฮันนี่ เลม่อน, แดเนียล เฮนนี่ ให้เสียง ทาดาชิ ฮามาดะ พี่ชายของฮิโระ, มายา รูดอล์ฟ ให้เสียง ป้าแคสส์,เจมส์ ครอมเวลล์ ให้เสียง ศจ. โรเบิร์ต คัลลาแกน, และ อลัน ทูไดค์  ให้เสียง อลิสแตร์ เครย์ กำกับโดย ดอน ฮอลล์ และ คริส วิลเลี่ยมส์ และอำนวยการสร้างโดย รอย คอนลิ





วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Frozen

                                                  Frozen




ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ หรือ โฟรเซน(อังกฤษ: Frozen เป็นภาพยนตร์เพลงแนวแฟนตาซี-คอเมดีประเภทคอมพิวเตอร์แอนิเมชันสามมิติในปีพ.ศ. 2556 อำนวจการสร้างโดยวอลต์ดิสนีย์แอนิเมชันสตูดิโอส์และจัดจำหน่ายโดยวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ภาพยนตร์เรื่องนี้ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากเรื่องเล่าเรื่องราชินีหิมะของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซนนับเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันลำดับที่ห้าสิบสามของภาพยนตร์ในชุดแอนิเมชันคลาสสิกของวอร์ตดิสนีย์ โดยเล่าเรื่องราชินีผู้กล้าที่ผจญภัยไปกับมนุษย์น้ำแข็ง กวางเรนเดียร์ และมนุษย์หิมะผู้อับโชคเพื่อค้นหาพี่สาวที่ห่างเหินซึ่งมีพลังน้ำแข็งที่ทำให้อาณาจักรตกอยู่ภายใต้ฤดูหนาวชั่วนิรันดร์โดยไม่ได้ตั้งใจ

ภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านช่วงการเรียบเรียงร่างบทภาพยนตร์มาหลายปีก่อนที่จะได้รับการอนุมัติให้เดินหน้าต่อใน พ.ศ. 2554 โดยมีเจนนิเฟอร์ ลี เป็นผู้เขียนบท และลีกับคริส บัก เป็นผู้กำกับ นอกจากนี้ยังได้ คริสเตน เบลล์, ไอดินา แมนเซล, โจนาธาน กรอฟฟ์, จอร์ช แกด และซานติโน่ ฟอนทาน่า มาเป็นผู้พากษ์เสียงตัวละคร คริสโตฟ เบค ผู้ร่วมงานกับดิสนีย์ในภาพยนตร์สั้น Paperman เป็นผู้เรียบเรียงทำนองออร์เคสตรา และโรเบิร์ต โลเปซ กับคริสเตน แอนเดอร์สัน-โลเปซ คู่สามีภรรยานักแต่งเพลงเป็นผู้แต่งเพลงประกอบเรื่อง

โฟรเซนเปิดรอบปฐมทัศน์ที่โรงภาพยนตร์เอลแคปิตันเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2556และออกฉายเป็นการทั่วไปในวันที่ 27 พฤศจิกายน โดยได้รับเสียงวิจารณ์ในแง่บวกอย่างล้นหลามทั้งจากนักวิจารณ์และผู้ชม นักวิจารณ์บางคนเห็นว่าโฟรเซนเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันและภาพยนตร์เพลงที่ดีที่สุดตั้งแต่ยุคฟื้นฟูของดิสนีย์ ภาพยนตร์ยังทำรายได้อย่างล้นหลาม ได้รับรายได้กว่า $1.2 พันล้านทั่วโลก โดยเป็นรายได้จากสหรัฐอเมริกาและแคนาดา $400 ล้าน และอีก $247 ล้านในญี่ปุ่น ได้รับการขนานนามว่าเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาล,ภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาลลำดับห้า, ภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในปี 2556 และภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดตลอดการลำดับสามในญี่ปุ่น โฟรเซนได้รับรางวัลออสการ์ ในสาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม และในสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (เพลงเล็ทอิทโก) รางวัลลูกโลกทองคำสาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยมรางวัลบาฟต้าสาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยมรางวัลแอนนีห้ารางวัล (รวมทั้งภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม) และรางวัลนักวิจารณ์คัดสรรในสาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม และเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (เพลงเล็ทอิทโก)






ราพันเซล

ราพันเซล



ราพันเซล เจ้าหญิงผมยาวกับโจรซ่าจอมแสบ (Tangled) เป็นภาพยนตร์เพลงแนวตลกและเพ้อฝันสัญชาติอเมริกัน วอลต์ดิสนีย์แอนิเมชันสตูดิโอส์สร้างด้วยคอมพิวเตอร์แอนิเมชันเมื่อ พ.ศ. 2553 และเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันซึ่งฉายในโรงภาพยนตร์เป็นลำดับที่ 50 ของวอล์ดิสนีย์ มีเนื้อหาอิงเทวนิยายเยอรมันเรื่อง ราพันเซล (Rapunzel) ของพี่น้องกริม อย่างหยาบ ๆ และในภาคภาษาอังกฤษนั้น แมนดี มัวร์,ซาชารี เลวี และ ดอนนา เมอร์ฟีย์ ให้เสียงตัวละครเด่น ๆ
เดิมชื่อภาษาอังกฤษของภาพยนตร์นี้คือ Rapunzel แต่ก่อนออกฉายเล็กน้อยได้เปลี่ยนเป็น Tangled ภาพยนตร์นี้ฉายในโรงภาพยนตร์ระบบสามมิติเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2553 ส่วนในประเทศไทย ฉายเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2554 การจัดสร้างภาพยนตร์ใช้เวลาถึงหกปี และแอลเอไทมส์รายงานว่า ใช้ทุนไปราว ๆ สองร้อยหกสิบล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันที่ใช้จ่ายเงินไปมากที่สุดทีเดียว
หยาดแสงอาทิตย์หยาดหนึ่งตกลงสู่พื้นโลก และงอกงามขึ้นเป็นดอกไม้เรืองแสงประกอบด้วยสรรพคุณเยียวยาความป่วยเจ็บ หญิงชรานางหนึ่งชื่อว่า "กอเธล" พบเจอเข้า จึงใช้ดอกไม้นั้นเพื่อคงความเยาว์วัยดุจหญิงสาวของตนเอง โดยวิธีร้องเพลงมนตร์แก่ดอกไม้นั้นว่า "บุปผาเรืองแสงส่อง เปล่งฤทธาของเจ้า ช่วยย้อนวันให้เรา คืนสิ่งที่เคยได้ครอง" นางนำสุ่มมาครอบดอกไม้นั้นเพื่อเก็บไว้ใช้แต่ผู้เดียว
หลายร้อยปีผ่านไป เกิดมีอาณาจักรขึ้นบริเวณนั้น ราชินีอันเป็นที่รักแห่งอาณาจักรดังกล่าวประชวรขณะใกล้ให้ประสูติกาล ทหารและพลเมืองช่วยกันค้นหาวิธีแก้ไข และพบดอกไม้นั้นเข้าโดยบังเอิญ ราชินีทรงได้รับการรักษา และมีประสูติกาลแก่ธิดาพระนามว่า "ราพันเซล" ผู้มีเกศางามดังทอง และบัดนี้ เกศาของพระธิดากลายเป็นแหล่งสรรพคุณวิเศษของดอกไม้นั้นแทน ในคืนนั้น กอเธลลักพาพระธิดาไปซ่อนไว้ในหอคอยสูงกลางป่า แล้วเลี้ยงดูประดุจบุตรในอุทร เพื่อใช้ผมของราพันเซลช่วยให้ตนเองคงความเยาว์วัยต่อไป นางทราบดีว่า ถ้าตัดผมของราพันเซลออก ผมนั้นจะเสื่อมสรรพคุณ และเปลี่ยนจากสีทองเป็นสีน้ำตาลทันที ดังนั้น นางจึงปล่อยให้เกศาของราพันเซลยาวโดยมิได้ตัดเลย และมิให้ราพันเซลออกนอกหอคอยเลย ทั้งนี้ ทุก ๆ ปี ในวันคล้ายวันประสูติราพันเซล พระราชาและราษฎรของพระองค์จะปล่อยโคมลอยนับแสนดวงขึ้นสู่ฟ้า พวกเขาหวังว่าโคมลอยจะนำพาพระธิดาของพวกเขากลับมาอีกครั้ง
ในวันก่อนวันคล้ายวันประสูติปีที่สิบแปดของราพันเซล เธอขอให้กอเธลอนุญาตให้เธอออกไปดูโคมลอยนอกหอคอย แต่กอเธลไม่อนุญาต และให้สาเหตุว่า "โลกภายนอกมีแต่ภยันตรายและความชั่ว"
ขณะเดียวกัน กลุ่มโจรกลุ่มหนึ่ง นำโดย ฟลิน ไรเดอร์ ชายหนุ่มรูปงาม ได้ขโมยศิราภรณ์ของเจ้าหญิงผู้หายสาบสูญนั้นไปจากพระราชวัง ระหว่างที่เหล่าองครักษ์ไล่ตามกลุ่มโจรอย่างติดพันนั้น แม็กซิมัส ม้าของหัวหน้าองครักษ์ คลาดจากกลุ่มโดยไม่มีผู้ขี่ ม้าแม็กซิมัสจึงออกตามล่าฟลินเอง ในเวลานั้น ฟลินหลอกเอาศิราภรณ์ไปจากเพื่อนร่วมกลุ่ม แล้วหนีขึ้นไปซ่อนตัวที่หอคอยของราพันเซลซึ่งเขาพบโดยบังเอิญ แต่เขาถูกราพันเซลฟาดด้วยกระทะจนสลบไป เธอซ่อนเขาไว้ในตู้เสื้อผ้าของเธอ แล้วริบศิราภรณ์ไว้
เมื่อกอเธลกลับมา ราพันเซลขอให้นางไปเก็บเปลือกหอยมาให้เป็นของขวัญวันเกิดเพื่อนำมาทำสีระบายภาพ กอเธลยอมใช้เวลาเดินทางสามวันไปเอาของขวัญมาให้ ระหว่างนั้น ราพันเซลตกลงกับฟลินว่า ถ้าอยากได้ศิราภรณ์คืน ให้พาเธอออกไปนอกหอคอยเพื่อไปชมดูเหล่าโคมลอยที่เธอเข้าใจว่าเป็น "หมู่ดาว" ซึ่งปรากฏขึ้นทุก ๆ วันคล้ายวันเกิดของเธอ ฟลินพยายามให้ราพันเซลเลิกเดินทางแล้วกลับหอคอยไปเสีย โดยพาเธอไปค้างแรมที่ร้านลูกเป็ดหน่อมแน้ม (Snuggly Duckling Parlor) ที่เต็มไปด้วยคนเถื่อนชาวไวกิง ทว่า ชาวไวกิงกลับเอ็นดูราพันเซล และราพันเซลแนะนำให้พวกเขาทำความฝันของตนให้สำเร็จเหมือนที่เธอกำลังจะไปดูโคมลอยที่ฝันหามานาน
ระหว่างเดินทาง กอเธลพบม้าแม็กซิมัสที่ไม่มีคนขี่ และเกิดกังวลขึ้นมาว่า อาจมีคนไปพบราพันเซล จึงรีบกลีบไปยังหอคอย แต่พบว่า ราพันเซลไม่อยู่แล้ว ขณะนั้น เหล่าองครักษ์มาถึงร้านลูกเป็ดหน่อมแน้มเพื่อจับกุมฟลิน แต่ชาวไวกิงช่วยฟลินและราพันเซลหนีไปได้ การไล่ล่ายุติลงเมื่อม้าแม็กซิมัสทำให้เขื่อนแตก และฟลินกับราพันเซลติดอยู่ในถ้ำน้ำท่วมไร้ทางออก เมื่อคิดว่า ตนกำลังใกล้ความตาย เขาสารภาพว่า อันที่จริงตนเองชื่อ ยูจีน ฟิตซ์เฮอร์เบิร์ต ส่วนราพันเซลก็สารภาพว่า เธอมีเส้นผมวิเศษที่เรืองแสงได้เวลาที่เธอร้องเพลงมนต์ ทันใด ผมของเธอก็เรืองแสงขึ้นและชี้ทางออกให้แก่คนทั้งสอง ทั้งคู่จึงออกจากถ้ำปิดตายนั้นได้ และราพันเซลได้ใช้ผมของเธอเยียวยาบาดแพลของยูจีน คืนนั้น กอเธลติดตามมาพบราพันเซล และบอกเธอว่า ยูจีนไม่สนใจเธอจริง เขาประสงค์เพียงได้ศิราภรณ์เท่านั้น โดยกอเธลยืนยันให้ราพันเซลทดสอบยูจีนโดยคืนศิราภรณ์ให้ดู
ช้าวันต่อมา ม้าแม็กซิมัสพบยูจีน แต่ได้กลายเป็นเพื่อนกับราพันเซลไป และยอมร่วมทางไปกับคนทั้งสองเพื่อกลับอาณาจักรแล้วพาราพันเซลไปดูโคมลอย คืนนั้น ยูจีนพาราพันเซลล่องเรือไปกลางอ่าวหน้าพระราชวังเพื่อชมดูโคมลอยอย่างใกล้ ๆ ณ ที่นั้น ราพันเซลคืนศิราภรณ์ให้เขา แต่เขากล่าวว่า เขาไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้วเมื่อเขาได้พบเธอ ทันใด เขาสังเกตเห็นเพื่อนโจรของเขาที่เขาทิ้งมา เขาจึงละราพันเซลไปพบเพื่อนเพื่อยกศิราภรณ์ให้ ทว่า เพื่อนโจรจับเขามัดติดกับเรือแล้วให้แล่นเข้าไปในท่าของพระราชวัง พวกเขาบอกแก่ราพันเซลว่า ยูจีนทรยศความรู้สึกของเธอโดยชิงศิราภรณ์จากไปแล้ว และพวกเขาจะจับเธอเพื่อเอาผมเธอไปขายเสียเดี๋ยวนี้ แต่กอเธลช่วยราพันเซลไว้ได้ และพาเธอกลับหอคอย ทว่า ทั้งหมดนี้เป็นแผนการของกอเธล วันนั้น ยูจีนถูกจับและถูกพิพากษาประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ม้าแม็กซิมัสจึงนำพาชาวไวกิงที่ร้านลูกเป็ดหน่อมแน้มมาช่วยยูจีน และไปช่วยราพันเซลที่หอคอย
ราพันเซลคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้พบขณะเดินทางไปดูดูโคมลอย เธอจึงทราบว่า เธอคือเจ้าหญิงที่หายไปจากอาณาจักร และเธอพยายามหลบหนี กอเธอจึงจับเธอไว้ และเมื่อยูจีนมาถึงหอคอย กอเธลแทงเขาจากข้างหลัง แล้วกล่าวว่า นางจะพาราพันเซลหนีไปอยู่ที่อื่นแล้ว แต่ราพันเซลขอให้เธอให้ใช้ผมรักษายูจีนก่อน เธอจะยอมเป็นของกอเธลตลอดไป ก่อนราพันเซลจะได้ช่วยเยียวยายูจีน ยูจีนคว้าเศษกระจกมาตัดผมของราพันเซลเสียจนสั้น เส้นผมของราพันเซลจึงเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มและสูญเสียสรรพคุณไป กอเธลบันดาลโทสะเป็นอันมาก และร่างกายนางก็เปลี่ยนกลับสู่ความชราอย่างรวดเร็ว จนนางมิอาจยอมรับเงาของตนในกระจกได้ นางใช้ผ้าคลุมปิดหน้าตนเองไว้ ด้วยความโกรธและตื่นตกใจ นางวิ่งพล่านจนล้มคะมำพุ่งออกจากหน้าต่างหอคอยดิ่งลงสู่พื้นเบื้องล่าง ร่างกายของนางก็ร่วงโรยขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนนางจะปะทะกับพื้นแล้วป่นเป็นเถ้ากระดูกไป
ยูจีนค่อย ๆ ตายลงในอ้อมแขนของราพันเซล ด้วยความเสียใจ ราพันเซลร้องไห้และร้องเพลงมนต์ หยาดน้ำตาของเธอหยดลงบนแก้มของยูจีน และยังให้เขาฟื้นจากความตายอีกครั้ง ทั้งสองกอดและจูบกัน แล้วพากันกลับอาณาจักร พระหทัยของราชาและราชินีนั้นท้นไปด้วยน้ำตาของความปีติที่ได้พบพระธิดาอีกครั้ง หลายปีต่อมา ยูจีนและราพันเซลเสกสมรสกัน ส่วนชาวไวกิงก็ทำความฝันของพวกตนให้เป็นจริง ฝ่ายม้าแม็กซิมัสนั้นก็ได้บรรจุเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นสูงในกององครักษ์




วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

into the woods

                                                           Into  the  Woods
        


1.รู้จักจุดเริ่มต้นของ Into the Woods

หลายคนอาจจะยังเข้าใจว่ามันเป็นหนังที่หยิบเอาหนังการ์ตูนดิสนีย์มายำรวมๆกัน แต่เปล่าเลยแท้ที่จริงแล้วต้นฉบับของมันคือการเอาละครเวทีในชื่อเดียวกัน ซึ่งเป็นละครบรอดเวย์ของผู้ประพันธ์เพลงผู้โด่งดังอย่างสตีเฟน ซอนด์ไฮม์ ซึ่งจัดได้ว่าเป็นผลงานเรื่องที่โดดเด่นและสะเทือนอารมณ์ที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว 



2.จากผู้กำกับ CHICAGO สู่ INTO THE WOODS 

ร็อบ มาร์แชล ผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างของหนัง หลังจากที่เขาประสบความสำเร็จมากหลังจากที่ทำหนังเพลงใน Chicago จนกล่าวได้ว่าเขานี่แหละที่ปลุกชีพหนังเพลงให้กลับมาโลดแล่นและเป็นที่นิยมอีกครั้งกับ 6 รางวัลออสการ์ที่รวมไปถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย เขายังประสบความสำเร็จกับหนังอย่าง Memoirs of a Geisha และหนังเพลงอย่าง Nine อีกด้วย นอกจากการกำกับภาพยนตร์ร๊อบก็ยังคงรักในการทำละครเวทีเขายังเป็นคนกำกับและออกแบบท่าเต้นสำหรับละครเรื่อง “Cabaret” โปรดักชันที่ได้รับรางวัลทั่วโลก และได้กำกับและออกแบบท่าเต้นให้กับละครบรอดเวย์เรื่อง “Little Me” อีกด้วย 



3.เรื่องราวของคนทำขนมปังผู้อยากมีลูก 

ถึงหนังเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเทพนิยายหลายเรื่องแต่แกนกลางของเรื่องจะเล่าเรื่องราวของคนทำขนมปังที่ได้รับรู้ว่าครอบครัวของเขาถูกสาปให้ลูกชายในบ้านกลายเป็นหมัน แม่มดจึงได้ปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อยื่นขอเสนอให้หาวัตถุดิบมาถอนคำสาปก่อนที่พระจันทร์สีฟ้าจะเกิดขึ้นในอีกสามวันซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นในทุก 100 ปีเท่านั้น ของสี่อย่างที่คนทำขนมปังต้องหาก็คือแม่วัวที่สีขาวราวน้ำนม เส้นผมที่มีสีเหลืองราวข้าวโพด ผ้าคลุมที่สีแดงราวกับเลือด และรองเท้าที่บริสุทธิ์ราวทองคำ โดยระหว่างเดินทางนั้นเองเขาก็ได้พบกับทั้งหนูน้อยหมวกแดง แจ็คเด็กชายผู้ปีต้นถั่ว ซินเดอร์เรล่าที่หนีจากงานเต้นรำ ราพันเซลผู้ถูกแม่มดขังไว้บนหอคอย ภารกิจการตามล่าของยิ่งยากกว่าเมื่อ “ราคา” ที่พวกเขาต้องจ่ายหลังคำร้องขอนั้นมีผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง 



4.เทพนิยายตลกและมืดหม่น 

INTO THE WOODS จะไม่ได้หวานใสและสดสวยแบบในการ์ตูนดิสนีย์แน่นอน เนื่องจากตัวเวอร์ชั่นละครบรอดเวย์นั้นได้เอาเค้าโครงเรื่องมาจากในวรรณกรรมต้นฉบับและหยิบมันเอามายั่วล้อความเป็นเทพนิยายในตัวเองอีกทีหนึ่ง รวมไปถึงเลือกจะเล่า “ด้านมืด” ของเทพนิยายออกมาในช่วงครึ่งหลังของหนังอีกด้วย 



5.ดาราดังคับจอ

เรียกได้ว่าในหนังเวอร์ชั่นนี้ได้ดาราดังมาร่วมทีมทั้งฝากละครเวทีและทั้งจอเงินอาทิ เมอริล สตรีพ (แม่มด), เอมิลี บลันท์ (ภรรยาของคนทำขนมปัง), เจมส์ คอร์เดน (คนทำขนมปัง),แอนนา เคนดริค (ซินเดอเรลลา), คริส ไพน์(เจ้าชายของซินเดอเรลลา), คริสติน บาแรนสกี้(แม่เลี้ยง), เทรซีย์ อัลล์แมน (แม่ของแจ็ค),จอห์นนี เดปป์ (หมาป่า), ลิลลา ครอว์ฟอร์ด(หนูน้อยหมวกแดง), แดเนียล ฮัตเติลสโตน(แจ็ค), บิลลี แม็กนัสเซน (เจ้าชายของราพันเซล) และ แม็คเคนซีย์ เมาซี (ราพันเซล)
  








ซินเดอเรลล่า

ดิสนีย์ปล่อยตัวอย่างแรก “ซินเดอเรลล่า” งานเทพนิยายคลาสสิคสุดอลังการ


เคท บลันเชตต์ ลิลี่ เจมส์ ริชาร์ด แมดเดน สเตลลัน สการ์การ์ด และ เฮเลน่า บอนแฮม-คาร์เตอร์  นำแสดงในภาพยนตร์ที่กำกับโดย เคนเนธ บรานาห์ วอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์ ปล่อยตัวอย่างเต็มตัวแรกของ “ซินเดอเรลล่า”ภาพยนตร์ไลฟ์-แอ็คชั่น(คนแสดง) ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเทพนิยายสุดคลาสสิค เมื่อคืนวานนี้เวลา 3 ทุ่มประเทศไทย “ซินเดอเรลล่า” ได้นำภาพลักษณ์ของแอนิเมชั่นระดับมาสเตอร์พีซของดิสนีย์ในปี 1950 ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ด้วยความสมจริงของตัวละครและงานภาพที่สวยงามตระการตาสำหรับคนในยุคปัจจุบัน



ตัวอย่างได้แนะนำ ลิลี่ เจมส์ (“ดาวน์ตัน แอ็บบี้”) สู่ผู้ชม ในบท “ซินเดอเรลล่า” สาวน้อยแสนสวยผู้มีจิตใจอันงดงาม ที่ต้องเจอกับความร้ายกาจและถูกกลั่นแกล้งจากแม่เลี้ยงใจร้ายและเหล่าพี่สาวของเธอ แต่เธอก็ยังคงคิดบวกและอดทนต่อสิ่งเหล่านั้น เช่นเดียวกันกับภาพของนักแสดงหญิงรางวัลออสการ์ เคท บลันเชตต์ (“บลู จัสมิน”) ในบทแม่เลี้ยงใจร้าย ริชาร์ด แมดเดน (“เกม ออฟ โธรนส์”) เป็นเจ้าชายรูปงามผู้ชาญฉลาดและจิตใจดี และรองเท้าแก้วที่ไม่มีใครเหมือน รองเท้าที่ถูกออกแบบโดย แซนดี้ โพเวลล์ (“ดิ เอวิเอเตอร์”) นักออกแบบเครื่องแต่งกายเจ้าของ 3 รางวัลออสการ์ และถูกผลิตโดย ชวารอฟสกี้ ที่ทำออกมาจนกลายเป็นงานศิลปอันงดงาม

เรื่องราวของเรื่องราวของ “ซินเดอเรลล่า”ดำเนินตามโชคชะตาของสาวน้อย “เอลล่า” (ลิลี่ เจมส์)  ลูกสาวของพ่อค้าที่แต่งงานใหม่หลังจากการตายของแม่เธอ ด้วยความที่ต้องการสนับสนุนบิดาผู้เป็นที่รัก เอลล่าต้อนรับแม่เลี้ยงคนใหม่ (เคท บลันเชตต์) และลูกสาวของเธอ อนาสเทเชีย (ฮอลลิเดย์ เกรนเจอร์) และดริเซลล่า (โซฟี แมคชีรา) สู่บ้านของครอบครัว แต่เมื่อพ่อของเอลล่าได้จากไปอย่างไม่คาดคิด เธอก็รู้ตัวว่าเธอกำลังตกอยู่ภายใต้ความอนุเคราะห์ของครอบครัวใหม่ขี้อิจฉาและร้ายกาจ สุดท้ายก็ไม่พ้นการเป็นสาวรับใช้ที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่นและได้ฉายาใหม่จากความเกลียดชังว่า ซินเดอเรลล่า ความหวังของเอลล่าเริ่มหมดลง แต่นอกเหนือจากความโหดร้ายที่ถาโถมเข้ามาสู่เธอ เอลล่าตัดสินใจที่จะยึดมั่นในคำสั่งเสียสุดท้ายของแม่เธอที่ว่า “จงกล้าหาญและมีเมตตา” 



เธอจะไม่ยอมแพ้ให้กับความสิ้นหวังหรือคำดูถูกของคนที่ทำไม่ดีกับเธอ และเมื่อเธอได้พบกับชายแปลกหน้ารูปงามในป่า โดยที่เธอไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาคือเจ้าชาย คิดว่าเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ในวังเท่านั้น ในที่สุดเธอก็รู้สึกว่าเธอได้พบกับผู้ที่มีจิตใจอันอ่อนโยน ดูเหมือนว่าโชคชะตาชีวิตของเธอกำลังจะปลี่ยนไป เมื่อพระราชวังได้ประกาศเชิญหญิงสาวทั่วเมืองมาร่วมงานเต้นรำ ทำให้เธอกลับมีความหวังในการที่จะได้เจอกับ คิท ผู้ทรงเสน่ห์ (ริชาร์ด แมดเดน) ขึ้นมาอีกครั้ง แต่แล้ว แม่เลี้ยงของเธอก็ได้สั่งห้ามเธอไปร่วมงานนี้และได้ฉีกทำลายชุดของเธอ เช่นเดียวกับในเทพนิยายดีๆเรื่องอื่นๆ ความช่วยเหลือมาถูกเวลาเสมอ และหญิงขอทานผู้ใจดี (เฮเลน่า บอนแฮม-คาร์เตอร์) ก็ได้ปรากฎตัวขึ้น พร้อมกับฟักทองและหนู 2- 3 ตัว ที่จะเปลี่ยนชีวิตของซินเดอเรลล่าไปตลอดกาล 
                 
                                     ตัวอย่าง!!!


วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

 เดอะลิทเทิลเมอร์เมด

                                 เดอะ ลิตเติ้ล เมอร์เมด
            


       เดอะ ลิตเติ้ล เมอร์เมด (The Little Mermaid) สร้างขึ้นจากเทพนิยายของ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน (Hans Christian Andersen) ซึ่งสร้างเป็นการ์ตูนครั้งแรกโดยสหภาพโซเวียตในปี 1968 ชื่อเรื่อง Rusalochka (The Little Mermaid) และปี 1976 สหภาพโซเวียตและบัลแกเรียก็ได้ร่วมกันสร้างขึ้นมาอีกครั้ง และมาถึงปี 1989 ตำนานนางฟ้าเรื่องนี้ก็ถูกสร้างขึ้นเป็นภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่น โดยบริษัทวอลซ์ ดิสนีย์ โด่งดังจนเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกในชื่อ The Little Mermaid


        เรื่องราวของเงือกน้อยนอกจากได้รับการนำมาสร้างเป็นการ์ตูนวอลซ์ ดิสนีย์แล้ว ยังมีการนำโครงเรื่องในตำนานมาสร้างในหลายรูปแบบ เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Splash สร้างขึ้นในปี 1984 โดย Ron Howard แสดงนำโดย Tom Hanks และ Daryl Hannah และมาถึงปี 2003 – 2004 สถานีโทรทัศน์ของญี่ปุ่นก็ได้แพร่ภาพการ์ตูนเรื่อง Mermaid Melody Pichi Pichi Pitch ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากตำนานเงือกน้อย (The Little Mermaid) นี้เช่นกัน โดยเป็นเรื่องของ ลูเซีย (Lucia) เจ้าหญิงเงือกน้อยแห่งมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ ได้ช่วยเด็กผู้ชายที่จมน้ำ แล้วก็ได้มอบไข่มุกสีชมพูไปกับเด็กผู้ชายคนนั้น ต่อมาเจ้าหญิงก็มาสู่เมืองมนุษย์เพื่อมาตามหาเด็กผู้ชายและไข่มุกสีชมพู เพื่อช่วยอาณาจักรใต้สมุทรของเธอ        ด้วยความเป็นการ์ตูน จึงต้องแต่งเติมสีสันแห่งความสนุกสนาน พร้อมกับตอนจบที่สมหวัง ซึ่งแท้จริงแล้ว ตำนานดั้งเดิมฉบับเทพนิยายแอนเดอร์สัน จะเป็นอย่างไร เราลองมาดูเรื่องเต็ม ๆ กัน        เรื่อง เดอะลิตเติ้ล เมอร์เมด ฉบับดั้งเดิม ซึ่งเขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1836 นี้ เรามักรู้จักกันทั่วไปในซีรี่ส์ของเทพนิยายแอนเดอร์สัน แม้ตอนจบจะไม่ได้เป็นเช่นในการ์ตูน แต่ก็แฝงคติสอนใจให้เด็ก ๆ ได้ไม่น้อย และยังจบด้วยการชักชวนให้เด็ก ๆ มาเป็นเด็กดีของพ่อแม่ผู้ปกครอง



สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด

สโนว์ไวท์ นิทานอมตะ

สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด (อังกฤษ: Snow White and 
the Seven Dwarfs) คือภาพยนตร์อเมริกาออกฉายเมื่อปี พ.ศ. 2480 มีโครงเรื่องจากนวนิยายเรื่องสโนว์ไวต์ ผลงานการประพันธ์ของพี่น้องตระกูลกริมม์เป็นการผลิตในรูปแบบภาพยนตร์การ์ตูนเต็มรูปแบบครั้งแรกของวอลท์ดิสนีย์ และเป็นภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาวเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์อเมริกา

สโนว์ไวต์กับคนแคระทั้งเจ็ด ณ โรงละคร Carthay Circle ในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2480 ต่อมาได้จัดจำหน่ายโดย RKO Radio Pictures เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 เรื่องราวของเรื่องปรับปรุงมาจากแผ่นป้ายเรียบเรียงฉาก ของ Ann Blank, Richard Creedon, Merrill De Maris, Otto Englander, Earl Hurd, Dick Rickard, Ted Sears และ Webb Smith จากนวนิยายเยอรมันเรื่อง สโนว์ไวต์ ของพี่น้องตระกูลกริมม์ เดวิด แฮนด์เป็นผู้อำนวยการผลิต ส่วน William Cottrell, Wilfred Jackson, Larry Morey, Perce Pearce และ Ben Sharpsteen กำกับลำดับภาพ

สโนว์ไวต์กับคนแคระทั้งเจ็ด เป็นหนึ่งใน 2 ภาพยนตร์การ์ตูนที่ติดอันดับภาพยนตร์อเมริกาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 100 เรื่อง จากสถาบันภาพยนตร์สหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2540 (อีกเรื่องหนึ่งคือ แฟนเทเชีย) โดยอยู่ในอันดับที่ 49 และอีก 10 ปีต่อมา (พ.ศ. 2550) ภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นสู่ดันดับที่ 34 และในปีต่อมาภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เข้าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

เนื้อเรื่องย่อ


กาลครั้งหนึ่งในดินแดนสุดมหัศจรรย์ ยังมีองค์หญิงน้อยแสนงามผู้มีผมดำดุจไม้มะเกลือ ริมฝีปากแดงดั่งกุหลาบและมีผิวขาวผ่องดังหิมะ เธอคือสโนไวท์ ผู้ที่รู้จักเธอล้วนรักเธอเว้นแต่ราชินีแม่เลี้ยงใจร้ายผู้ริษยาในความงามของเธอสโนไวท์อาศัยอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ที่มีน้ำตกเจ็ดชั้นและภูเขาอัญมณีเจ็ดลูกที่ภายในมีอัญมณีเลอค่ามากมาย ภูเขาที่อยู่ห่างไกลที่สุดเป็นที่ตั้งของปราสาทที่สโนไวท์เติบโตมาภายใต้อำนาจของราชินี

ถึงแม้ว่าความปรารถนาที่จะมีรักแสนหวานของเธอจะดูเป็นไปไม่ได้แต่ความรักก็สามารถหาทางของมันได้เสมอแม้ว่าเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งก็ยังไม่สามารถห้ามให้เจ้าชายหลงรักสโนไวท์ได้

ราชินีเกรงว่าสักวันสโนไวท์จะเติบโตและงดงามกว่าพระนาง ด้วยเหตุนี้พระนางจึงใช้ให้สโนไวท์ทำงานหนักดั่งทาส และเมื่อกระจกวิเศษเผยแก่ราชินีว่าสโนไวท์งดงามกว่าพระนาง ชีวิตของสโนไวท์ก็ตกอยู่ในอันตราย จนกระทั่งเธอได้พบเพื่อนตัวเล็กๆทั้งเจ็ดคนที่ช่วยเหลือเธอไว้

สโนไวท์วิ่งหนีใปในป่ามืด ดูเหมือนว่าต้นไม้เกิดมีชีวิตและพยายามจะฉุดรั้งสโนไวท์เอาไว้ เธอเหนื่อยล่าและหวาดกลัวจนกระทั่งหมดแรงและล้มลงกลางป่า แล้วสิ่งที่ทำให้เธอมีชีวิตชีวาอีกครั้งก็คือเสียงเพลงและรอยยิ้ม

ระหว่างที่สโนไวท์กำลังทำกูซเบอร์รี่พายของโปรดของเหล่าคนแคระ แม่ค้าเร่ก็เข้ามาคะยั้นคะยอเธอให้ทำแอปเปิ้ลพายด้วยลูกแอปเปิ้ลสีแดงสดในมือนาง และเมื่อสโนไวท์อธิษฐานต่อแอปเปิ้ลเธอกัดมันและสลบลงไปนอนกองกับพื้นทันที!

หลังจากผ่านไป 3 คืน สโนว์ไวท์ก็ตื่นขึ้นมาเจอเจ้าชาย เจ้าชายได้จุมพิตนางทำให้นางฟื้นขึ้นมา และต่อสู้กับราชินีจนทำให้ราชินีตาย ทำให้ต่อมาทุกคนอยู่อย่างเป็นสุข




มิคกี้เมาส์


                             เริ่มต้น...มิคกี้เมาส์



ภาพยนตร์เรื่องแรกที่มิกกี้ เมาส์เป็นพระเอกเป็นการ์ตูนเรื่อง Plane Crazy ซึ่งเป็นเรื่องราววิบากของมิคกี้บนเครื่องบิน ต้องใช้เงินสร้าง 1,800ดอลลาร์ต่อตอนจากนั้นก็ตามมาด้วย The Gallopin Gaucho และพอถึงภาพยนตร์การ์ตูนตอนที่ 3 ของมิคกี้ เมาส์ชื่อ Steamboat Willie เจ้ามิคกี้ เมาส์ ก็เปลี่ยนวงการการ์ตูนภาพเคลื่อนไหวตลอดกาล ในไม่ช้าหนูมิคกี้ก็กลายเป็นการ์ตูนที่คนทั้งประเทศหลงใหลคลั่งไคล้ และไม่เพียงเฉพาะเด็กๆเท่านั้น


            ความสำเร็จของ Steamboat Willie ทำให้วอลท์ ดิสนีย์เป็นที่ต้องการตัวมาก เขาเริ่มสร้างการ์ตูนมิคกี้ เมาส์ในรูปแบบใหม่ๆเดือนละ 1 แบบ สตูดิโอหลายแห่งรวมทั้งยูนิเวอร์แซล อยากจะเป็นผู้จัดจำหน่ายให้แก่ดิสนีย์ หรือแม้แต่ซื้อกิจการของบริษัทเขาเลย แต่เขาไม่สนใจขายกิจการ


            เขาพยายามศึกษาระบบสตูดิโอ และจัดจำหน่ายการ์ตูนของเขาให้แก่โรงภาพยนตร์รายย่อย แต่เขาพบว่า ในระหว่างที่มิคกี้ เมาส์ทำเงินมหาศาล แต่เงินที่ไหลกลับเข้ามือของวอลท์ ดิสนีย์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในที่สุดปี 1930 เขาก็ยอมเซ็นสัญญากับสตูดิโอแห่งหนึ่ง มอบหมายให้โคลัมเบียพิคเจอร์เป็นผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์การ์ตูน โดยเขาได้รับเงินตอนละ 7,000 ดอลลาร์ ทั้งสองฝ่ายจะแบ่งเงินกัน แต่วอลท์ ดิสนีย์ยังคงถือลิขสิทธิ์อยู่


            บริษัทโคลัมเบีย พิคเจอร์สจัดจำหน่ายการ์ตูนของดิสนีย์ไปทั่วโลก ในปี1930 เจ้าหนูมิคกี้กลายเป็นปรากฏการณ์ความสำเร็จระดับโลกชนิดเฉียบพลัน คนอิตาลีเรียกขานเจ้าหนูตัวนี้ว่า Topolinoในสเปนมิคกี้ได้ชื่อว่า  Miguel Rotoncito ส่วนในสวีเดนชื่อของมันเป็นMusse Pigg นอกจากนี้เขาตีพิมพ์หนังสือการ์ตูนมิคกี้ เมาส์ออกมา ปรากฏว่าแค่ปีแรกสามารถจำหน่ายได้ถึง97,938 เล่ม นอกจากนี้เขายังทำสัญญาตกลงกับคิง ฟีเจอร์ เพื่อสร้างการ์ตูนชุคมิคกี้ เมาส์ 3 ช่องในหนังสือพิมพ์ ซึ่งทำให้บริษัทส่งเสริมการกระจายชมรมมิคกี้ เมาส์ ซึ่งเริ่มผุดขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศได้


            ในปี 1932 วอลท์ ดิสนีย์ ได้จ้างนักธุรกิจชื่อ เคย์ แคเมน แห่งนิวยอร์ก ให้มาช่วยคิดหาวิธีการสร้างความมีเสน่ห์ทางการค้าให้แก่มิคกี้  ซึ่งในขณะที่การให้สัมปทานผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่เจ้าหนูมิคกี้ เมาส์ กลับสร้างสถิติใหม่อย่างรวดเร็ว งานแรกของแคเมนคือการให้สัมปทานผลิตไอศกรีมโคนเพียงชั่วเดือนแรกได้ประมาณ 10ล้านอัน ครั้นปลายปี บริษัทต่างๆตั้งแต่RCA ไปจนถึงเจเนอรัล ฟูดส์ ต่างก็มีส่วนช่วยขายเจ้าหนูตัวนี้ โดยทั่วๆไปนั้น ดิสนีย์จะได้รับส่วนแบ่ง 5 เปอร์เซ็นต์ ของราคาขายส่งสินค้าที่ได้รับสิทธิ์สัมปทาน แต่ในช่วงปีแรกที่แคเมนทำงานกับบริษัทการตกลงของเขาสร้างผลกำไรประมาณ300,000 ดอลลาร์ หรือเกือบ 1 ใน 3 ของรายได้ทั้งหมด


            โอกาสงามที่วอลท์ ดิสนีย์ได้ยินว่ามาเคาะประตูบ้านเขา ตอนที่เจ้ามิคกี้ เมาส์พูดได้เป็นครั้งแรก ดูเหมือนจะเปลี่ยนจากเคาะมาเป็นเตะประตูแรงๆ ตลอดช่วงระยะเวลาที่การ์ตูนมิคกี้ เมาส์ ส่งผลไปเป็นชุดแล้ว วอลท์ ดิสนีย์เองก็พยายามทำงานมากเกินไป ผลิตภาพยนตร์สั้นมิคกี้ เมาส์ ตอนใหม่ออกมาทุกเดือน ใช้ประโยชน์ทำธุรกิจทุกด้านที่มีอยู่ จนตัวเองถึงขนาดพับไป และภรรยาคือผู้พบเขานอนสลบไสล ทว่าเมื่อกลับไปทำงานอีกครั้งหลังพักยาว ดิสนีย์กลับมามุงานหามรุ่งหามค่ำยิ่งกว่าก่อนหน้านั้นเพื่อสร้างบริษัทขึ้นมา


            ผลกำไรที่เพิ่มขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 30 ทำให้วอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอ สามารถลงทุนปรับปรุงคุณภาพการ์ตูนเคลื่อนไหวของตนได้ ซึ่งในขณะที่ผู้รับสิทธิ์ทั้งหลายต่างก็ผลิตสินค้าจากตัวการ์ตูนของเขาออกมาเป็นระลอก ดิสนีย์ก็ประกาศชัดว่าภาพยนตร์การ์ตูนของเขานั้นไม่ใช่แค่ผลผลิตเพื่อการค้า แต่เป็นรูปแบบใหม่ของศิลปะที่ถูกต้อง ในปี 1932สตูดิโอของเขาจึงเป็นแห่งแรกที่เริ่มเปิดโรงเรียนของตนเองที่ซึ่งดิสนีย์สามารถอบรมความรู้ให้แก่นักวาดการ์ตูนคนรุ่นใหม่ในวิธีของเขาเอง เขาจัดหาเทคโนโลยีภาพยนต์การ์ตูนล่าสุด มอบวัสดุคุณภาพสูงสุดให้ผู้เข้าอบรมได้ใช้งาน ต่อมาก็ได้สร้างตัวการ์ตูนอย่าง โดแนลด์ ดัค ,พลูโตและกูฟฟี่ ขึ้นมา ทำให้เขาสามารถโกยกำไรจากตัวการ์ตูนเหล่านี้ได้มากมาย


            ถึงแม้ตัวละครหน้าใหม่ๆ จะแพร่หลายมากขึ้น แต่มิคกี้ เมาส์ก็ยังคงเป็นหนึ่งในหัวใจของวอลท์ ดิสนีย์อยู่ดี เขาจะติดนาฬิกามิคกี้ เมาส์เรือนใหญ่ไว้บนผนังห้องทำงาน ในสมุคเช็คของบริษัทก็จะพิมพ์รูปมิคกี้ เมาส์เอาไว้ด้วย


            ในญี่ปุ่น เจ้าหนูมิคกี้ เมาส์รู้จักในนามของ มิกิ คูชิ เป็นสิ่งที่คนรู้จักกันแพร่หลายมากที่สุดรองลงมาจากองค์พระจักรพรรดิ์ และในฐานะเป็นผู้สร้างมิคกี้ เมาส์ขึ้นมา วอลท์ ดิสนีย์เองก็กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียง ตอนที่เขาเดินทางไปอังกฤษเมื่อปี 1937 เขาก็ร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำกับพระราชินีแห่งอังกฤษ และได้เข้าพบ เอช.จี.เวลส์ ปีถัดมาเขาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากทั้งมหาวิทยาลัยเยลและฮาร์วาร์ด มีหลายครั้งด้วยกันที่เส้นแบ่งระหว่างผู้สร้างสรรค์กับการ์ตูนดัง รางเลือนมากเสียจนกลมกลืนไปด้วยกัน ตอนที่ดิสนีย์รับรางวัลจากสันนิบาตแห่งชาติในกรุงปารีส เขาถึงขนาดขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์ด้วยเสียงที่ใช้พากษ์เป็นตัวมิคกี้ เมาส์





          ในปี 1934 วอลท์ ดิสนีย์ก็ตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งไม่เคยมีใครในฮอลลีวู้ดคิดทำมาก่อน นั่นก็คือ ผลิตภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาว คือ นิทานสโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด ปรากฏว่า ทั่วทั้งประเทศผู้ชมต่างแห่แหนไปออกันแน่นขนัดตามโรงภาพยนตร์  สโนว์ไวท์สามารถคืนทุนได้อย่างรวดเร็ว พอเปิดฉายเพียงครั้งแรก ก็สามารถทำเงินให้วอลท์ ดิสนีย์ ถึง 8.5 ล้านดอลลาร์ และได้รับรางวัลอเคเดมี อวอร์ด รางวัลพิเศษ


            เมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จ วอลท์และรอย ก็ตัดสินใจลงทุน100,000 ดอลลาร์ซื้อที่ดินย่านเบอร์แบ็งค รัฐแคลิฟอร์เนีย จำนวน 51 เอเคอร์เพื่อสร้างเป็นสตูดิโอแห่งใหม่สำหรับผลิตการ์ตูนภาพเคลื่อนไหว





          กลางทศวรรษ 1950 ดิสนีย์เริ่มขายผลงานให้แก่วงการโทรทัศน์ ซึ่งเป็นช่องทางจำหน่ายใหม่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ภายหลังทดลองออกอากาศทางโทรทัศน์หลายรายการในปี 1954 ดิสนีย์ก็เซ็นสัญญาระยะยาวให้สิทธิ์ขาดกับABC แต่เพียงผู้เดียว และเป็นผู้ผลิตชั้นนำของฮอลลีวู้ดรายแรกที่ทำแบบนั้น


            รายการโทรทัศน์โปรแกรม ดิสนีย์แลนด์ ซึ่งมีวอลท์ ดิสนีย์เป็นพิธีกร มีตัวการ์ตูนต่างๆ และภาพยนตร์สารคดีธรรมชาติมาออกอากาศประเดิมในปี1954 หลังจากนั้นความมหัศจรรย์ของดิสนีย์ ก็สร้างความพิศวงผ่านทางจอเล็ก ในช่วงฤดูกาลแรกที่ออกอากาศ รายการนี้สามารถทำเรตติ้งตามการจัดอันดับของนีลสัน อันดับที่ 41 อย่างน่าแปลกใจ ซึ่งหมายความว่า มีคนดูแวะเวียนเข้ามาชมรายการของเขาประมาณ 30.8 ล้านคน จากทั้งหมด 75 ล้านคน


            ปีถัดมา ดิสนีย์ก็สร้างชมรมมิคกี้ เมาส์ ซึ่งก็ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ทางโทรทัศน์ ดึงดูดผู้ชมทั้งเด็กและวัยรุ่นอย่างมากมาย นอกเหนือจากสร้างดาราเด็กแสดงเป็นหนูอย่างแอนเนต ฟูนิเซลโลขึ้นมาแล้ว รายการนี้ยังดันยอดขายสิทธิ์สัมปทานผลิตภัณฑ์ของดิสนีย์ให้พุ่งลิ่วอีกด้วย ช่วงที่รายการได้รับความนิยมสูงตอนกลางทศวรรษ 1950 สินค้าเป็นหูของมิคกี้ เมาส์ สามารถจำหน่ายได้ถึงวันละประมาณ 25,000 ชุด


            วอลท์ ดิสนีย์ จะให้เสี้ยวหนึ่งแห่งโลกจินตนาการของเขาแก่ผู้ชม ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเสมอ แต่เขาก็ต้องการวิธีดึงจินตนาการของเขาออกมาโลดแล่นมีชีวิตอย่างแท้จริง เขาตัดสินใจแยกจากความบันเทิงผ่านสื่อทั้งหลายด้วยความห้าวหาญ หันมามุ่งมุ่นตั้งใจสร้างสวนสนุกขึ้นมาแห่งหนึ่ง ดิสนีย์ได้รับแนวคิดนี้ระหว่างมองบุตรสาวสองคนของเขาเล่นม้าหมุน


            ในขณะที่ดิสนีย์แลนด์เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง บริษัทต่างๆก็เริ่มตระหนักถึงโอกาสทางการค้าของสวนสนุกแห่งนี้ และยอมจ่ายเพื่อเช่าหรือซื้อสัมปทานพื้นที่จำหน่ายสินค้าของตนเอง หรือมิฉะนั้นก็เพื่อให้ชื่อของตนเองปรากฏอยู่บนของเล่นในสวนสนุกเพื่อประชาสัมพันธ์


            ดิสนีย์แลนด์กลายเป็นสวนสนุกให้ความบันเทิงใหญ่สุดของประเทศ เปิดโอกาสให้คนอเมริกันได้สัมผัสกับบรรยากาศสวนสนุกสมบูรณ์แบบเป็นครั้งแรก และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ทำให้คนอเมริกันได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบกับสิ่งประดิษฐ์ การเปิดสวนสนุกของดิสนีย์แลนด์ได้จังหวะเหมาะสม เพราะประเทศอเมริกากำลังอยู่ในระหว่างยุคประชากรเบ่งบาน เด็กที่เกิดระหว่างปี 1946-1964เพิ่มขึ้นวันละ 10,000 คน ทำให้ทั่วประเทศมีเด็กถึง 76.4 ล้านคน ทั้งหมดหลั่งไหลไปดิสนีย์แลนด์พร้อมผู้ปกครอง


            ก่อนเปิดสวนสนุก บริษัทวอลท์ ดิสนีย์ โปรดักชั่น มีส่วนได้ส่วนเสียในดิสนีย์แลนด์อยู่แค่ 1 ใน 3 แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ครอบครองเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว และเขาได้ขยายอาณาจักร เริ่มต้นด้วยการวางแผนสร้างดิสนีย์ เวิลด์ ในปี 1958 ใน ฟลอริดา และต่อมาก็ได้ขยายไปยังต่างประเทศ


            สวนสนุกมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์แห่งนี้ เปิดให้เข้าชมได้ในปี 1971 ดิสนีย์ เวิลด์ ไม่ใช่แค่ก็อปปี้ของดิสนีย์แลนด์แห่งชายฝั่งตะวันตกเท่านั้น แต่เป็นจุดบันดาลใจในฐานะแบบอย่างการวางผังเมือง มีรีสอร์ทที่พักในบริเวณ,โรงแรมและมีศูนย์EPCOT (Experimental Prototype Community of Tomorrow) ซึ่งเป็นศูนย์ทางด้านการศึกษา ที่จัดสภาพแวดล้อมเหมือนโลกอนาคต มีซุ้มพลับพลาต่างๆ จัดแสดงประเทศต่างๆเอาไว้


            ในด้านภาพยนตร์นั้น เขาเรียนรู้ในเวลาต่อมาว่า คนรุ่นต่อๆมาก็สามารถจะนำเอาภาพยนตร์ของครอบครัวกลับมาดูกันใหม่ ราวกับเป็นของใหม่เอี่ยม สำหรับผู้ชมการ์ตูนนั้น เขากำหนดคนแต่ละรุ่นไว้ว่าห่างกันประมาณ 7 ปี และมีการทำเป็นวีดีโอ จัดจำหน่าย สร้างรายได้แต่ละเรื่องเป็นร้อยล้านดอลลาร์


            วอลท์ ดิสนีย์ ไม่ได้มีอายุยืนยาวจนทันเห็นดิสนีย์ เวิลด์ สร้างเสร็จ เขาเป็นเหยื่อมะเร็งในปอด เสียชีวิตเมื่อวันที่ 15ธันวาคม ปี 1966 ด้วยวัย 65 ปี เขาทิ้งบริษัทให้กลายเป็นเสมือนหนึ่งอนุสาวรีย์ของเขา และทิ้งบริษัทที่กลายเป็นส่วนหนึ่งที่แยกไม่ออกของครอบครัวชาวอเมริกัน

               



ดิสนีย์แลนด์

 ดิสนีย์แลนด์ (Disneyland)
                                       
   

                เป็นสวนสนุกและสถานตากอากาศในเครือวอลท์ ดิสนีย์ ปัจจุบันนั้นมีสวนสนุกและสถานตากอากาศในเครือดิสนีย์ (Walt Disney Parks and Resorts) ตั้งอยู่ 5 แห่งทั่วโลก

     •ดิสนีย์แลนด์ รีสอร์ท (Disneyland Resort) เริ่มสร้างโดยวอลท์ ดิสนีย์ ในวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 (ค.ศ.1955)ได้เปิดสวนสนุกแห่งแรกขึ้น และ ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2544 (ค.ศ.2001) ได้เปิดสวนสนุกอีกแห่งขึ้น คือDisney California Adventure สวนสนุกทั้งสองแห่งตั้งอยู่ที่ เมือง Anaheimมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

     • วอลท์ ดิสนีย์ เวิลด์ รีสอร์ท (Walt Disney World Resort) เปิดปี พ.ศ.2514 (ค.ศ. 1971) ที่ริมทะเลสาบบัวนา วิสตา เมือง Orlando มลรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา โดยมีสวนสนุกแบบดิสนีย์แลนด์ (Magic Kingdom) และโรงแรมอีกสามแห่ง ปัจจุบันได้เพิ่มจำนวนสวนสนุกเป็น 4 แห่ง (Magic Kingdom, Epcot, Disney-MGM studios และDisney’s Animal Kingdom), สวนน้ำอีก 2 แห่ง, สนามกอล์ฟ และโรงแรมอีกมาก เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีอาณาเขตใหญ่ที่สุดในโลก

     • โตเกียว ดิสนีย์ รีสอร์ท (Tokyo Disney Resort) เปิดปี พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) ที่จังหวัดจิบะ ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงแรกมีแต่สวนสนุกโตเกียว ดิสนีย์แลนด์ เมื่อ พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) ได้เปิดบริการสวนสนุกอีกแห่ง คือ โตเกียว ดิสนีย์ซี

     • ดิสนีย์แลนด์ รีสอร์ท ปารีส (Disneyland Resort Paris) เปิดปี ยพ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) เรียกอีกชื่อว่า ยูโรดิสนีย์ (Euro Disney) และปี พ.ศ.2545 (ค.ศ. 2002) ได้เปิดสวนสนุกอีกแห่ง ชื่อ วอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอ

     • ฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ รีสอร์ท (Hong Kong Disneyland Resort) เปิดในวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005)ที่ฮ่องกง





            ในฐานะของคนที่เปลี่ยนชีวิตวัยเด็กให้กลายเป็นสินค้าเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน วอลท์ ดิสนีย์ จึงมักย้อนนึกถึงความกลัว และความผาสุกในวัยต้นๆ ของตนเอง เขาก็เหมือนกับเด็กว้าเหว่จำนวนมาก ที่มักจะฆ่าเวลาด้วยการสร้างเพื่อนทางจินตนาการด้วยปากกากับกระดาษ ตอนที่ครอบครัวย้ายไปชิคาโก เขาก็พบทางออกสำหรับความสามารถเฉพาะตัวที่ปรากฏชัด ตอนที่เขากลายเป็นบรรณาธิการฝ่ายศิลป์ระดับจูเนียร์ของหนังสือพิมพ์โรงเรียนไฮสกูลแมคคินลีย์

            วอลท์เริ่มตระหนักว่า ของเล่นเล็กๆน้อยๆของตนเอง มีค่ามากกว่าแค่ความคิดจินตนาการแปลกๆ เขานำเอาภาพการ์ตูนล้อเลียนตลกขบขันไปแลกกับการได้ตัดผมฟรี ระหว่างนั้นเอง สหรัฐอเมริกาก็เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1โดยอยู่ข้างฝ่ายพันธมิตร วอลท์ ซึ่งอายุ16 ปี อาสาสมัครเป็นพลขับให้แก่หน่อยรถพยาบาลกาชาดอเมริกา ตอนที่เขาไปถึงฝรั่งเศส สงครามก็ยุติแล้ว เขาก็เลยขับรถบรรทุกมากกว่ารถพยาบาล แต่เมื่อใดที่เขาเข้าประจำหน้าที่ตามปกติ เขาก็จะวาดการ์ตูน สร้างความสนุกสนานให้แก่เพื่อนฝูงเป็นประจำ

            ปี 1920 เขาเซ็นสัญญารับจ้างวาดภาพให้แก่บริษัทผลิตภาพยนตร์โฆษณาชื่อ แคนซัส ซิตี้ ฟิลม์ แอ็ด คัมปะนี ได้ค่าจ้างสัปดาห์ละ 40 ดอลลาร์ โดยบริษัทนี้ จะโฆษณาเป็นภาพยนตร์การ์ตูนสั้นความยาว 60 วินาที แพร่ภาพตามโรงภาพยนตร์ วอลท์ ดิสนีย์ จึงได้เรียนรู้วิธีใข้เครื่องมือพื้นฐานสำหรับการสร้างภาพการ์ตูน กล้องแบบสต็อปแอ็คชั่น ซึ่งจับภาพวาดต่อกันเป็นชุด ทำให้ดูแล้วเหมือนเป็นภาพเคลื่อนไหวได้

            เขาทำงานใกล้ชิดกับศิลปินอีกคนชื่อ อัพบี ไอเวอร์คส์ ทั้งที่เพสแมน-รูบิน กับแคนซัส ซิตี้ ฟิล์ม ปี 1922 ศิลปินทั้งคู่ก็ช่วยกันตั้งบริษัทของตนเองชื่อ ลาฟ-โอ-แกรม เพื่อผลิตภาพยนตร์การ์ตูนสั้น แต่ก็ประสบความล้มเหลว

            ต่อจากนั้น วอลท์ ดิสนีย์จึงเริ่มสำรวจการพลิกแพลงทางการค้า เพื่อนำมาใช้กับความคิดบางส่วนของตนเอง เขาคิดว่าตนเองได้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่เป็นต้นตำรับให้แก่วงการการ์ตูน ตอนที่นำเอาคนจริงๆมาสร้างเป็นการ์ตูนขึ้น ถึงแม้เทคนิคนี้จะมีการใช้กันมาก่อน แต่ภาพยนตร์ของดิสนีย์กับไอเวอร์คส์ ก็นำไปสู่การยอมรับภาพยนตร์การ์ตูนในลักษณะการค้าเป็นครั้งแรก พอปี 1923เขาก็เดินทางจากแคนซัส ซิตี้ ไปยังสถานที่ซึ่งเคยได้ยินมาว่า ผู้ผลิตภาพยนตร์หนุ่มๆ สามารถหานายทุนมาสนับสนุนโครงการของตนได้ จุดหมายปลายทางที่เขามุ่งไปก็คือ ฮอลลีวู้ด


            เมื่อเดินทางไปถึงลอสแองเจลีส วอลท์ ดิสนีย์ก็ไปพักอยู่กับโรเบิร์ตผู้เป็นลุง จากนั้นก็ตระเวณไปตามสตูดิโอต่างๆ แล้วก็ได้ค้นพบสัจธรรมอย่างรวดเร็วว่า ผู้กำกับที่ยิ่งใหญ่นั้นไม่ใช่จะคว้ามาจากข้างถนนกันได้ง่ายๆ เมื่อไม่มีงาน ดิสนีย์ก็ทำแบบที่เคยทำในเมืองแคนซัส ซิตี้ ภายใต้สภาวการณ์เดียวกัน กล่าวคือ เขาเริ่มเป็นผู้ประกอบการด้วยตนเอง “เมื่อคุณหางานทำไม่ได้ คุณก็ต้องเริ่มธุรกิจของตัวเอง”

            วอลท์ ดิสนีย์มีสินทรัพย์ที่สามารถจับต้องได้ 2 อย่างด้วยกันคือ รอย พี่ชายของเขาซึ่งเป็นนักธุรกิจสมองเปรื่อง พำนักอยู่ในลอสแองเจลีส และกลับมาแข็งแรงดีดังเดิมหลังหายจากวัณโรค ส่วนสินทรัพย์อย่างที่ 2 ก็คือ การผจญภัยกับอลิซ ดังนั้นวอลท์ กับรอย จึงเปิดสตูดิโอภาพเคลื่อนไหวชื่อ ดิสนีย์ บราเธอร์ในโรงรถของลุงโรเบิร์ต และสามาถชายให้กับ วิงเลอร์ ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์

            เมื่อมีการแพร่ภาพการ์ตูนชุดเรื่องอลิซออกไป อัพบี ไอเวอร์คส์ก็เข้าร่วมกิจการที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ โดยในตอนแรกเข้ามาร่วมในฐานะนักเขียนการ์ตูน ที่ได้รับการว่าจ้างตามสัญญา หลังจากเสร็จสิ้นภาพยนตร์การ์ตูนการผจญภัยของอลิซแล้ว วอลท์  ดิสนีย์ ก็สมรสกับลิเลียน บาวนด์ ทำงานด้านลงหมึกในสตูดิโอ ส่วนวิงเลอร์ ผู้จัดจำหน่ายของเขา ก็แต่งงานเกือบๆจะพร้อมกัน จากนั้นเธอก็มอบการควบคุมธุรกิจจัดจำหน่ายให้กับสามีของเธอ มินซ์ ซึ่งก็ร่วมทำงานกับดิสนีย์ สร้างตัวการ์ตูนกระต่ายที่จับขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่ เหมือนอย่างเจ้าแมวเฟลิกซ์ วอลท์สเก็ตช์ภาพกระต่ายตัวหนึ่งขึ้นมา ซึ่งมีชื่อว่า “ออสวอลด์ เจ้ากระต่ายโชคดี”

            ถึงแม้ออสวอลด์จะกลายเป็นจุดเริ่มภาพยนตร์การ์ตูนชุดสั้น ที่ได้รับการต้อนรับอย่างดี แต่ความสำเร็จของดิสนีย์กลับมีช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพราะความโง่เขลาของเขา ทำให้เขาตกลงเซ็นสัญญาผลิตการ์ตูน แต่บริษัทของมินซ์กับยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ จะเป็นเจ้าของตัวการ์ตูนนั้น เรียกได้ว่าประสบการณ์ครั้งนี้สร้างความโกรธแค้นให้แก่ วอลท์ ดิสนีย์ เป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดตั้งปณิธานว่า ไม่มีวันยอมทำงานให้ใครอีกแล้ว
 ภายหลังเรื่องราวกับมินซ์เป็นที่ประจักษ์ซึ้งแก่ใจแล้ว ทั้งวอลท์และลิเลียนผู้ภรรยาก็ขึ้นรถไฟเดินทางกลับแคลิฟอร์เนียด้วยความรู้สึกกระปลกกระเปลี้ยสิ้นแรง และตระหนักดีว่าสตูดิโอของเขาต้องปิดกิจการรวดเร็วเป็นแน่ ถ้าเขาไม่สามารถสร้างตัวการ์ตูนใหม่ขึ้นมาได้ ความคิดของเขาหันเหไปหาหนูอย่างรวดเร็ว เพราะเขามักจะเจอพวกหนูในตะกร้าทิ้งผงใต้ในห้องทำงาน

            ครั้นมาถึงแคลิฟอร์เนีย เขาและ อัพบี ไอเวอร์คส์ ก็ช่วยกันสร้างตัวการ์ตูนที่มีความน่ารักน่าเอ็นดู และมีลักษณะเหมือนออสวอลด์แต่มีหูเหมือนหนู ทั้งคู่ตกลงใจตั้งชื่อเจ้าตัวนี้ว่า “มิคกี้ เมาส์”
                     

            

ผู้จัดทำ

                    ผู้จัดทำ
  สวัสดีค่ะ ชื่อ  น.ส. พุทธชาติ  ศรีสังข์งาม
  ชั้นม.4/4เลขที่17    อยู่ที่ โรงเรียนสงวนหญิง   จังหวัดสุพรรณบุรี    ชื่อเล่นชื่อ  มิ้นต์อายุ16ปี
   เกิดวันที่ 1  สิงหาคม  พ.ศ.2541         สีที่ชอบ ฟ้า ชมพู  ส้ม
   อาหารที่ชอบ   กินได้ทุกอย่าง  555  ตัวการ์ตูนที่ ชอบ  มิกกี้เมาส์



      ถ้าถามว่าทำไมถึงทำ blog เรื่องดิสนีย์หละ? ก็เพราะว่าชอบดูการ์ตูนเพราะคิดว่าการ์ตูนเป็นสิ่งให้ความบันเทิงอย่างหนึ่งทำให้สบายใจเมื่อได้ดูหรือฟังเพลงเวลาเครียดๆ
แต่ทำไมถึงต้องเป็นดิสนีย์หละ? เพราะเป็นกาน์ตูนที่ไม่รุนแรงถ้าเป็นการ์ตูนอื่นอาจมีความรุนแรงทำไห้ดูแล้วเคียดแต่ของดิสนีย์ส่วนมากมักจะให้ความรู้สึกสนุกส่วนใหญ่ภาพ
ก็สวย  เพลงก็เพราะ  ตัวการ์ตูนก็น่ารัก  มีรางวัลการันตีจากออสการ์อีก   ทำให้อยากจะทำ blog เรื่องดิสนีย์เพื่อให้รู้เกี่ยวกับดิสนีย์อีกมากๆค่ะเป็นทางเลือกอีกทางที่คนรักการ์ตูนไม่ควรพลาด


วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บทนำ

                                                     
                                                บทนำ
ที่มาและความสำคัญ

เนื่องจากปัจจุบันมีการ์ตูนเกิดขึ้นมากมายแต่การ์ตูนที่มีความโด่งดังคงหนีไม่พ้น การ์ตูน ดิสนีย์ ซึ่งเป็นการ์ตูนที่คนทั่วโลกรู้จักแต่อาจยังไม่รู้เรื่องราวบางเรื่อง จึงจัดทำ blog  disney toonขึ้นเพื่อให้รู้จักกับดิสนีย์มากขึ้น

วัตถุประสงค์การดำเนินงาน
เพื่อรู้สิ่งต่างๆของดิสนีย์ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งขึ้นมาจนถึงปัจจุบันอีกทั้งตัวการ์ตูนที่นิยมกันมากอีกด้วย

ซอฟแวร์ที่ใช้พัฒนา
1. www. Blogger.com
2. www.youtube.com
3. adobe  photoshop

ขอบเขต

เนื้อหาประกอบด้วย
1.  ที่มาของดิสนีย์
2.  ตัวการ์ตูนจากดิสนีย์
3.  หนังและการ์ตูนเรื่องใหม่ๆของดิสนีย์

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.  ทำให้รู้ที่มาของดิสนีย์
2.  ได้ทำความรู้จักการ์ตูนของดิสนีย์
3.  ได้รับความเพลิดเพลินจากการดูการ์ตูนและได้รับความรู้จากblogนี้




วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558

มิคกี้เมาส์ ตัวละครตัวแรกแห่งความสำเร็จ

           ตัวละครตัวเเรกเรามารู้จักกันดีกว่า







         ประวัติมิกกี้เมาส์25.05.2008 - 21:58:52มิกกี้เมาส์ โดนัลด์ดั๊ก หมาพลูโต และผองเพื่อน เปิดม่านฉายความหลังของค่ายราชาการ์ตูน วอลต์ ดิสนีย์ ว่าก่อกำเนิดเมื่อ ค.ศ.1919 จากการประสานมือระหว่าง นายวอลต์ ดิสนีย์ กับนายเอ๊บ ไอเวอร์ก มีสำนักงานศิลปะเล็กๆ ณ เมืองเคนซัสซิตี้ รัฐแคนซัส ผลิตภาพยนตร์โฆษณาเป็นภาพวาดความยาวประมาณ 2 นาที สำหรับฉายตอนเริ่มต้นในโรงภาพยนตร์ท้องถิ่น และสร้างภาพยนตร์จากภาพวาดการ์ตูนชุด Laugh-O-Grams กับอีกชุดเป็นเทพนิยายยาว 7 นาที เรื่อง Alice in Cartoonland แต่ถูกผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ในนิวยอร์กฉ้อโกง ทั้งคู่จึงเดินทางสู่ลอส แองเจอลิส เริ่มธุรกิจใหม่อีกครั้งโดยมี รอย ดิสนีย์ พี่ชายของวอลต์ นั่งเก้าอี้ผู้จัดการ โครงการหนังการ์ตูน Alice in Cartoonland ถูกสานต่อ พร้อมการแจ้งเกิดของตัวการ์ตูนตัวใหม่ "กระต่ายออสวอลด์" จัดจำหน่ายได้ถึงตอนละ 1,500 เหรียญสหรัฐ ซึ่งยามนั้นนับว่ามหาศาล ดิสนีย์และไอเวิกส์สามารถดำเนินธุรกิจเล็กๆ ของตนต่อไปได้ วันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ.1923 เป็นวันก่อตั้งบริษัทที่เปลี่ยนชื่อเดิมจาก "ดิสนีย์ บราเธอร์ส การ์ตูนสตูดิโอ" เป็น "วอลต์ ดิสนีย์สตูดิโอ" ตามคำแนะนำของพี่รอย ฤกษ์งาม 16 ต.ค. ได้มาจากวันที่บริษัทเอ็มเจ วิงเลอร์ ตกลงยอมเป็นผู้จัดจำหน่ายการ์ตูนเรื่องใหม่ที่สร้างสรรค์จากวรรณกรรมเยาวชน Alice in Wonderland "วอลต์ ดิสนีย์สตูดิโอ" มีสำนักงานอยู่บนถนนคิงส์เวลล์ในฮอลลีวู้ด ก่อนเก็บเงินเก็บทองขยับขยายไปยังแห่งใหม่ที่สตูดิโอไฮเปอเรียน ปี 1927 วอลต์ ดิสนีย์ พยายามเจรจาต่อรองเรื่องค่าตอบแทนภาพยนตร์การ์ตูนกระต่ายออสวอลด์ กับบริษัทจัดจำหน่าย เขาได้รู้ว่าฝ่ายหลังไม่ซื่อสัตย์โดยทำสัญญาว่าจ้างนักเขียนการ์ตูนของวอลต์ ดิสนีย์
เพื่อสร้างการ์ตูนออสวอลด์ขึ้นมาเอง บทเรียนครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ต้องสูญเสียตัวออสวอลด์ให้กับความไม่รู้สีสาของตน และไม่ซื่อของคนอื่น หลังจากเสียการ์ตูนตัวเด่น คือ กระต่ายออสวอลด์ไปแล้วก็เสียไป สร้างใหม่ก็ได้ บัดเดี๋ยวนั้น "หนู" ตัวหนึ่งก็เกิดขึ้น ด้วยความร่วมมือของไอเวอร์กผู้ควบตำแหน่งหัวหน้าทีมวาดการ์ตูนของเขา หนูชื่อ "มิกกี้ เมาส์" ได้คะแนนนิยมเป็นที่รักของผู้ชมทั่วโลก ต่อมา ดิสนีย์ออกตัวการ์ตูน "ซิลลี ซิมโฟนี" เพื่อให้เข้ากับชุดกับมิกกี้ เมาส์ ซิลลี ชิมโฟนีเป็นการ์ตูนสีตลอดเรื่องๆ แรกของโลก ได้รับรางวัลชนะเลิศจากงานประกวดการ์ตูนหลายเวที และนับจากนั้นตลอดทศวรรษ การ์ตูนของดิสนีย์ก็ไม่เคยพลาดรางวัลออสการ์แม้แต่ปีเดียว ขณะที่หนังการ์ตูนได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ การผลิตสินค้าแปะโลโก้ตัวการ์ตูนออกจำหน่าย เป็นอีกวิธีหนึ่งที่เพิ่มรายได้ให้กับบริษัท จึงมีสินค้าตัวการ์ตูนมิกกี้เม้าส์ออกมา หนังสือมิกกี้เมาส์เล่มแรกก็ได้รับการตีพิมพ์ในปีค.ศ.1930 พร้อมๆ กับการตีพิมพ์การ์ตูน มิกกี้ เมาส์ ในหนังสือพิมพ์เป็นครั้งแรก 13 ปีต่อมา วอลต์ ดีสนีย์ปรารภกับเหล่านักวาดการ์ตูนของเขาว่าอยากจะผลิตหนังการ์ตูนเรื่องยาวบ้าง ว่าแล้วก็เล่าเรื่อง สโนไวต์กับคนแคระทั้งเจ็ดให้เด็กโค่งทั้งหลายฟัง ทุกอย่างจึงได้เริ่มต้นขึ้น ด้วยระยะเวลานาน 3 ปี ที่ทีมงานทุ่มเท ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาว สโนไวต์ เสร็จสมบูรณ์ออกฉายในช่วงคริสต์มาสปี 1937 และเป็นเจ้าของสถิติภาพยนตร์ทำรายได้สูงสุด ก่อนจะถูก วิมานลอย Gone with the wind สอยคะแนนไป ดิสนีย์ลุยสร้างหนังการ์ตูนเรื่องยาวอย่างจริงจัง เรื่องต่อๆ มา ได้แก่ Pinocchio และ Fantasia ปีแห่งความสำเร็จของดิสนีย์ คือ 1950 ด้วยภาพยนตร์การ์ตูนแอ๊กชั่นเรื่องแรก Treasure Island ควบคู่กับการ์ตูนคลาสสิก Cinderella ทั้งมีรายการเกมโชว์ทางโทรทัศน์เป็นครั้งแรก และเริ่มจริงจังกับรายการชุดที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 1954 ชุด ดิสนีย์ แลนด์ ตามด้วยมิกกี้ เมาส์ คลับ เป็นที่ชื่นชอบของทุกคน

ประวัติวอลท์ ดิสนีย์





ประวัติ วอลท์ ดิสนีย์ (Walt Disney)
เดอะวอลท์ดิสนีย์

             บริษัทเดอะวอลท์ดิสนีย์ (อังกฤษ: The Walt Disney Company- NYSE: DIS) หรือรู้จักกันในชื่อ ดิสนีย์ (Disney) บริษัทสื่อและสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในโลกก่อตั้งเมื่อวันที่ 16ตุลาคม พ.ศ. 2466 (ค.ศ. 1923) โดยสองพี่น้องดิสนีย์ วอลต์ ดิสนีย์ และพี่ชาย รอย ดิสนีย์ โดยเริ่มก่อตั้งจากการเป็นสตูดิโอทำภาพยนตร์การ์ตูนในฮอลลีวูด และขยายกิจการเพิ่มเติมโดยในปัจจุบันมีสวนสนุก 11 แห่ง และสถานีโทรทัศน์หลายสถานี รวมถึง เอบีซี และ อีเอสพีเอ็น สำนักงานใหญ่ของดิสนีย์ตั้งอยู่ที่ วอลท์ดิสนีย์สตูดิโอส์ ที่เมืองเบอร์แบงก์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งดิสนีย์ได้เข้าสู่เป็นบริษัทมหาชนเมื่อวันที่ 6พฤษภาคม พ.ศ. 2534สัญลักษณ์ทางการของดิสนีย์คือ มิกกี เมาส์


ประวัติ

                เดอะวอลท์ดิสนีย์ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2466 (ค.ศ. 1923) ในชื่อ "ดิสนีย์บราเธอส์คาร์ตูนสตูดิโอ" (Disney Brothers Cartoon Studio)โดยสองพี่น้องดิสนีย์ วอลท์ ดิสนีย์ และ รอย ดิสนีย์ หลังจากที่ทั้งคู่ได้ทำสัญญากับ เอ็ม. เจ. วิงเกลอร์ ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ในฮอลลีวูด โดยซ็นสัญญาการ์ตูนชุด อลิซคอเมดีส์ (Alice Comedies) ที่วอลท์ได้เริ่มทำเมื่อสมัยที่ทำภาพยนตร์ที่แคนซัสซิตี หลังจากบริษัทก่อตั้งได้ระยะหนึ่ง บริษัทได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "วอลต์ดิสนีย์สตูดิโอ" (Walt Disney Studio) หลังจากสี่ปีที่ได้เปิดบริษัทมา วอลท์มีไอเดียสร้างตัวละครขึ้นมาใหม่ ซึ่งได้แก่ ออสวอลด์ เดอะ ลักกีแรบบิต (Oswald the Lucky Rabbit) แต่ทว่าเมื่อผ่านไปหนึ่งปี ทางผู้จัดจำหน่ายได้หยุดการให้ทุนวอลท์ดิสนีย์ แต่ได้นำตัวละครออสวอลท์ไปสร้างต่อกับบริษัทอื่นแทน ทำให้วอลท์จำเป็นต้องหาทุนถ่ายทำใหม่รวมถึงสร้างตัวละครการ์ตูนขึ้นมาใหม่ วอลท์ได้นำหนูมาเป็นตัวละครและตั้งชื่อให้ว่า มอร์ติเมอร์ (Mortimor) แต่ภรรยาของเขาแนะนำให้ใช้ชื่อ มิกกี (Mickey) แทน ซึ่งในตอนที่สามของการ์ตูนชุดในชื่อ สตีมโบตวิลลี (Steamboat Willie) นี้ วอลต์ได้นำเสียงประกอบมาใช้ในการ์ตูน และ ได้ออกฉายเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ.2471 ที่โรงละครโคโลนีในนิวยอร์ก ซึ่งได้รับการต้อนรับมากมายจากผู้ชมและนักวิจารณ์ ซึ่งเป็นก้าวแรกของความสำเร็จของวอลท์ดิสนีย์ ต่อมาวอลท์ได้สร้างการ์ตูนชุดใหม่ในชื่อ ซิลลีซิมโฟนีส์ (Silly Symphonies) โดยฟลาเวอรส์แอนด์ทรีส์ในชุดนี้เป็นการ์ตูนรื่องแรกของดิสนีย์ที่ได้รับรางวัลออสการ์ ในปี พ.ศ.2498 วอลท์ได้เปิดสวนสนุกในชื่อดิสนีย์แลนด์รีสอร์ต